“วัยทอง” เป็นช่วงวัยที่ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในวัยนี้ คือ ภาวะไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพในระยะยาวของวัยทองได้
ไขมันในเลือดคืออะไร?
ไขมันในเลือด หรือที่เรียกทางการแพทย์ว่า “ลิปิด” (Lipid) เป็นสารประกอบที่ไม่ละลายในน้ำแต่ละลายได้ในตัวทำละลายที่เป็นไขมัน ไขมันในเลือดมีหลายชนิด แต่ที่สำคัญและมักได้รับการตรวจวัดในการตรวจสุขภาพประจำปีของวัยทอง ได้แก่
- คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol) เป็นการวัดปริมาณคอเลสเตอรอลทั้งหมดในเลือด
- ไขมันชนิดดี (HDL – High-Density Lipoprotein) เป็นไขมันที่ช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลส่วนเกินออกจากร่างกาย จึงได้รับการขนานนามว่า “ไขมันดี”
- ไขมันชนิดไม่ดี (LDL – Low-Density Lipoprotein) เป็นไขมันที่ทำให้เกิดการสะสมในผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดแข็งตัวในวัยทอง
- ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่สร้างและเก็บสะสมจากอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยเฉพาะในอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง
เมื่อเข้าสู่วัยทองแล้ว ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเผาผลาญไขมันและน้ำตาลในร่างกาย ทำให้วัยทองมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเกิดภาวะไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง 15: 11/67
ไตรกลีเซอไรด์สูงในวัยทอง เป็นปัญหาด้วยหรือไม่?
ในขณะที่คอเลสเตอรอลสูงในวัยทองมักได้รับความสนใจมากกว่า แต่ไตรกลีเซอไรด์สูงก็เป็นปัญหาสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามโดยเฉพาะในวัยทอง ไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อเก็บสะสมพลังงานส่วนเกิน
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูงในวัยทองมีหลายประการ ได้แก่…
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและก้าวเข้าสู่วัยทอง การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลต่อการเผาผลาญไขมันต่อร่างกาย
- การเปลี่ยนแปลงของการเผาผลาญ วัยทองมักมีอัตราการเผาผลาญที่ลดลง ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ช้าลง
- การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง อาหารเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ในร่างกายของวัยทอง
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์มีผลโดยตรงต่อการเพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์
- ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน มีความสัมพันธ์โดยตรงกับระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงขึ้น
- การขาดการออกกำลังกาย การมีกิจกรรมทางกายน้อยส่งผลให้การเผาผลาญไขมันลดลง
ความสำคัญของการควบคุมไขมันในเลือดและไตรกลีเซอไรด์ในวัยทอง
การควบคุมระดับไขมันในเลือดและไตรกลีเซอไรด์มีความสำคัญอย่างยิ่งในวัยทอง เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งหากปล่อยให้ระดับไขมันในเลือดและไตรกลีเซอไรด์สูงเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพที่ร้ายแรงได้
ผลกระทบของไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูงต่อสุขภาพวัยทอง
- โรคหลอดเลือดหัวใจ การที่ไขมันในเลือดสูงโดยเฉพาะ LDL สูง เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดคราบไขมันสะสมในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และอาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวายได้
- โรคหลอดเลือดสมอง ไขมันที่สะสมในหลอดเลือดสมองอาจทำให้เกิดการอุดตันหรือการแตกของหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งอาจทำให้เกิดความพิการหรือเสียชีวิตได้
- โรคตับอักเสบจากไขมัน ไตรกลีเซอไรด์สูง มักสัมพันธ์กับการสะสมของไขมันในตับ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคตับอักเสบจากไขมัน และในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้เกิดภาวะตับแข็งได้
- โรคตับอ่อนอักเสบ ไตรกลีเซอไรด์ที่สูงมากอาจกระตุ้นให้เกิดโรคตับอ่อนอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะที่มีอันตรายและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูงมักพบร่วมกับภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงทำให้หลอดเลือดแข็งและตีบ ส่งผลให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการสูบฉีดเลือด ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้
ค่ามาตรฐานของไขมันในเลือดและไตรกลีเซอไรด์สำหรับวัยทอง
คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า…สำหรับวัยทองแล้ว การรักษาระดับไขมันในเลือดและไตรกลีเซอไรด์ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติมีความสำคัญอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ สูบบุหรี่ มีความดันโลหิตสูง หรือเป็นโรคเบาหวาน โดยมีค่ามาตรฐานที่วัยทองควรเฝ้าระวัง ดังนี้
- คอเลสเตอรอลรวม
- ระดับที่เหมาะสม: น้อยกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
- ระดับเสี่ยง: 200 – 239 mg/dL
- ระดับสูง: 240 mg/dL ขึ้นไป
- LDL (ไขมันชนิดไม่ดี)
- ระดับที่เหมาะสม: น้อยกว่า 100 mg/dL
- ระดับใกล้เคียงเหมาะสม: 100 – 129 mg/dL
- ระดับเสี่ยง: 130 – 159 mg/dL
- ระดับสูง: 160 – 189 mg/dL
- ระดับสูงมาก: 190 mg/dL ขึ้นไป
- HDL (ไขมันชนิดดี)
- ระดับต่ำ (เสี่ยง): สำหรับผู้ชายน้อยกว่า 40 mg/dL, สำหรับผู้หญิงน้อยกว่า 50 mg/dL
- ระดับที่เหมาะสม: 60 mg/dL ขึ้นไป
- ไตรกลีเซอไรด์
- ระดับที่เหมาะสม: น้อยกว่า 150 mg/dL
- ระดับเสี่ยง: 150 – 199 mg/dL
- ระดับสูง: 200 – 499 mg/dL
- ระดับสูงมาก: 500 mg/dL ขึ้นไป
ผลไม้ที่วัยทองควรหลีกเลี่ยง! เมื่อมีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง
สำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทองและมีภาวะไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง การเลือกรับประทานผลไม้อย่างระมัดระวังเป็นสิ่งสำคัญ การรับประทานผลไม้มีทั้งข้อดีและข้อควรระวังสำหรับผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง ในขณะที่ผลไม้เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ผลไม้บางชนิดก็มีปริมาณน้ำตาลสูง 15:02/68 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระดับไตรกลีเซอไรด์ได้
โดยควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง ค่า GI สูง หรือค่า GL สูง และผลไม้ที่เราคัดเลือกมาฝากทุกคนต่อไปนี้…เป็นผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดการรับประทาน
1. ทุเรียน
ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีรสหวานจัดและมีไขมันสูง โดยใน 100 กรัมของเนื้อทุเรียน มีน้ำตาลประมาณ 27 กรัม และให้พลังงานสูงถึง 147 กิโลแคลอรี่ ทุเรียนยังมีไขมันประมาณ 5 กรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งสูงกว่าผลไม้ทั่วไปอย่างมาก นอกจากนี้…ทุเรียนยังมีค่า GL (Glycemic Load) ค่อนข้างสูง ทำให้ส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจกระตุ้นให้ร่างกายสร้างไตรกลีเซอไรด์มากขึ้น ทำให้ทุเรียนกลายเป็นหนึ่งในผลไม้ห้ามกินในวัยทองในปริมาณมาก
สำหรับวัยทองผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง ควรงด หรือจำกัดการรับประทานทุเรียนให้น้อยที่สุด หากต้องการรับประทานควรทานในปริมาณน้อยมาก เช่น 1 – 2 เม็ดเท่านั้น
2. ลำไย
อีกหนึ่งผลไม้ที่รสชาติหวาน และอร่อย แต่ยังคงเป็นผลไม้ห้ามกินในวัยทองในปริมาณมาก คือ ลำไย เป็นผลไม้ที่มีรสหวานจัด โดยใน 100 กรัมของเนื้อลำไยมีน้ำตาลประมาณ 15 – 17 กรัม ลำไยมีค่า GI ปานกลางถึงสูง (ประมาณ 60 – 70) ทำให้ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดค่อนข้างเร็ว นอกจากนี้วัยทองส่วนใหญ่มักทานลำใยในปริมาณมาก เนื่องจากมีขนาดเล็ก ทำให้ได้รับน้ำตาลในปริมาณสูงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขึ้นของระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
สำหรับวัยทองผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานลำไย หรือหากต้องการรับประทาน ควรจำกัดปริมาณไม่เกิน 5 – 7 ผลต่อครั้ง
3. มะม่วงสุก
มะม่วงสุกโดยเฉพาะพันธุ์ที่มีรสหวานจัด เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงเขียวเสวย มีปริมาณน้ำตาลสูงประมาณ 14 – 16 กรัมต่อ 100 กรัม และมีค่า GI ประมาณ 55 – 60 ซึ่งจัดอยู่ในระดับปานกลางถึงสูง การรับประทานมะม่วงสุกของวัยทองในปริมาณมากหรือรับประทานเป็นประจำ อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งกระตุ้นการผลิตอินซูลินและการสร้างไตรกลีเซอไรด์ในร่างกาย
สำหรับวัยทองผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง ควรจำกัดการรับประทานมะม่วงสุก โดยอาจรับประทานได้ไม่เกิน 1/2 ผลต่อครั้ง และไม่ควรรับประทานทุกวัน
4. ขนุน
ขนุนเป็นผลไม้ที่มีรสหวานจัดและให้พลังงานสูง จึงถูกจัดให้เป็นผลไม้ห้ามกินในวัยทอง โดยใน 100 กรัมของเนื้อขนุนมีน้ำตาลประมาณ 19 กรัม และให้พลังงานประมาณ 95 กิโลแคลอรี่ นอกจากนี้ ขนุนยังมีค่า GI ประมาณ 65 – 75 ซึ่งจัดอยู่ในระดับค่อนข้างสูงสำหรับวัยทอง ขนุนเป็นผลไม้ที่มักรับประทานได้ในปริมาณมาก เนื่องจากมีรสชาติอร่อยและเนื้อนุ่มถูกใจคุณผู้อ่านวัยทองทั้งหลาย ทำให้มีโอกาสไดรับน้ำตาลในปริมาณสูง ซึ่งส่งผลต่อระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานขนุน หรือหากต้องการรับประทาน ควรจำกัดปริมาณไม่เกิน 2 – 3 ยวงต่อครั้ง
5. ละมุด
อีกหนึ่งผลไม้ที่ห้ามกินสำหรับวัยทอง คือ “ละมุด” เป็นผลไม้ที่มีรสหวานและมีน้ำตาลสูงประมาณ 20 กรัมต่อ 100 กรัม มีค่า GI ปานกลางถึงสูง ละมุดมักรับประทานได้ง่ายและรับประทานได้ในปริมาณมาก ทำให้ได้รับน้ำตาลในปริมาณสูง การรับประทานละมุดในปริมาณมากอาจส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดและกระตุ้นการสร้างไตรกลีเซอไรด์ในร่างกาย
สำหรับวัยทองผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูงควรจำกัดการรับประทานละมุด โดยอาจรับประทานได้ไม่เกิน 1/2 ผลขนาดกลางต่อครั้ง
6. องุ่น
องุ่นเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงประมาณ 16 – 18 กรัมต่อ 100 กรัม และมีค่า GI ประมาณ 45-60 ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ องุ่นมักรับประทานได้ง่ายและในปริมาณมาก ทำให้ได้รับน้ำตาลในปริมาณสูงโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้ผลไม้ชนิดนี้ถูกจัดในผลไม้ห้ามกินในวัยทอง
การรับประทานองุ่นในปริมาณมากอาจส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดและการเพิ่มขึ้นของไตรกลีเซอไรด์ โดยเฉพาะองุ่นพันธุ์ที่มีรสหวานจัด และผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูงควรจำกัดการรับประทานองุ่น โดยอาจรับประทานได้ไม่เกิน 10 – 15 ผลต่อครั้ง
7. น้อยหน่า
น้อยหน่าเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงประมาณ 16 – 18 กรัมต่อ 100 กรัม และมีคาร์โบไฮเดรตประมาณ 25 กรัมต่อ 100 กรัม น้อยหน่ามีค่า GI ปานกลาง แต่การรับประทานในปริมาณมากอาจส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยความที่น้อยหน่าเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีรสหวานและเนื้อนุ่ม ทำให้รับประทานได้ง่ายและในปริมาณมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การได้รับน้ำตาลในปริมาณสูง จึงเป็นผลไม้ห้ามกินในวัยทองอีกหนึ่งชนิดที่อยากให้เลี่ยง
ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูงควรจำกัดการรับประทานน้อยหน่า โดยอาจรับประทานได้ไม่เกิน 1/4 – 1/2 ผลต่อครั้ง
8. น้ำผลไม้
น้ำผลไม้ แม้จะทำจากผลไม้ธรรมชาติ 100% ก็ตาม แต่ในกระบวนการคั้นหรือปั่นผลไม้จะทำให้ใยอาหารถูกกำจัดออกไปเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่น้ำตาลธรรมชาติจากผลไม้ยังคงอยู่ ทำให้ร่างกายของวัยทองดูดซึมน้ำตาลได้อย่างรวดเร็ว
การดื่มน้ำผลไม้จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งกระตุ้นการผลิตอินซูลินและการสร้างไตรกลีเซอไรด์ในร่างกาย นอกจากนี้ การดื่มน้ำผลไม้ยังทำให้ได้รับปริมาณผลไม้มากกว่าการรับประทานผลไม้สด เช่น การคั้นน้ำส้ม 1 แก้วอาจต้องใช้ส้ม 2-3 ผล
สำหรับวัยทองผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูงควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้ทุกชนิด แม้จะไม่มีการเติมน้ำตาลก็ตาม และควรเลือกรับประทานผลไม้สดที่มีใยอาหารสูงและน้ำตาลต่ำแทน
9. ผลไม้อบแห้ง
ผลไม้อบแห้ง เช่น ลูกเกด อินทผาลัม แอปริคอทอบแห้ง มีความเข้มข้นของน้ำตาลสูงมาก เนื่องจากน้ำถูกกำจัดออกไปในกระบวนการอบแห้ง แต่น้ำตาลยังคงอยู่ในปริมาณเดิม ทำให้ในปริมาณที่เท่ากัน ผลไม้อบแห้งจะมีน้ำตาลมากกว่าผลไม้สดหลายเท่าจึงเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ห้ามกินในวัยทอง
นอกจากนี้ ผลไม้อบแห้งมักรับประทานได้ง่ายและรับประทานได้ในปริมาณมาก เนื่องจากมีขนาดเล็กลง ทำให้มีโอกาสได้รับน้ำตาลในปริมาณสูงโดยไม่รู้ตัว โดยสำหรับวัยทองผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้อบแห้งทุกชนิด หรือหากต้องการรับประทานควรจำกัดปริมาณอย่างเคร่งครัด เช่น ลูกเกดไม่เกิน 1 ช้อนโต๊ะต่อครั้ง
10. กล้วยหอมสุก
กล้วยหอมที่สุกมาก (มีจุดสีน้ำตาลบนเปลือก) มีค่า GI ค่อนข้างสูงประมาณ 60 – 70 เนื่องจากแป้งในกล้วยจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเมื่อสุกมากขึ้น กล้วยหอมสุกมีน้ำตาลประมาณ 12 – 15 กรัมต่อ 100 กรัม และการรับประทานกล้วยหอมสุกมากอาจส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดและกระตุ้นการสร้างไตรกลีเซอไรด์ โดยเฉพาะเมื่อรับประทานในปริมาณมาก จึงทำให้เป็นอีกหนึ่ง
สำหรับวัยทองผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูงควรเลือกรับประทานกล้วยที่ยังไม่สุกมาก (สีเหลืองทอง ไม่มีจุดสีน้ำตาล) และจำกัดปริมาณไม่เกิน 1 ผลขนาดกลางต่อวัน
ผลไม้ที่เหมาะสมสำหรับวัยทองที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง
มีผลไม้ที่ห้ามกินในวัยทองเนื่องด้วยสุขภาพต่างๆ แล้ว แต่ยังมีผลไม้อีกหลายชนิดที่ไม่เพียงแต่ปลอดภัย แต่ยังมีประโยชน์ต่อการควบคุมระดับไขมันในเลือดและไตรกลีเซอไรด์ ผลไม้เหล่านี้มักมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น มีดัชนีน้ำตาลต่ำ มีใยอาหารสูง และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
ลองมาดูกันว่า มีผลไม้ชนิดใดบ้าง? ที่นอกจากทานได้แล้ว ยังอร่อย และมีคุณประโยชน์ต่อวัยทองอีกด้วย และมีชนิดใดบ้างที่ถูกใตคุณผู้อ่าน
1. แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่มีใยอาหารสูงโดยเฉพาะเพกติน (Pectin) ซึ่งเป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ที่มีคุณสมบัติในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล โดยพบว่าการรับประทานแอปเปิลเป็นประจำสามารถช่วยลดระดับ LDL หรือไขมันชนิดไม่ดีได้ถึง 40%
นอกจากนี้ แอปเปิลยังมีดัชนีน้ำตาลต่ำ (GI ประมาณ 36) และมีโหลดน้ำตาลปานกลาง ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดและไตรกลีเซอไรด์มากนัก จึงเป็นผลไม้ที่แนะนำให้ทานได้ในวัยทอง จึงเป็นผลไม้ที่คนส่วนใหญ่ทานช่วงลดน้ำหนัก 11: 12/67
ปริมาณที่แนะนำ:
- 1 ผลขนาดกลาง (ประมาณ 100-150 กรัม) ต่อวัน วัยทองควรรับประทานทั้งเปลือก หากเป็นไปได้ เนื่องจากเปลือกแอปเปิลมีสารเคอร์ซิทิน (Quercetin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันของ LDL
2. เบอร์รี่
กลุ่มผลไม้เบอร์รี่ทั้งหลาย เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ เป็นแหล่งอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) และใยอาหารสูงซึ่งเหมาะสำหรับวัยทอง จากการศึกษาวิจัยพบว่าสารแอนโทไซยานินมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบของหลอดเลือด และช่วยเพิ่มระดับ HDL หรือไขมันชนิดดี ผลไม้กลุ่มนี้มีค่า GI ต่ำ (GI ประมาณ 25-40) และมีโหลดน้ำตาลต่ำ ทำให้เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับวัยทองและผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง
ปริมาณที่แนะนำ:
- 1 ถ้วยต่อวัน (ประมาณ 150 กรัม) โดยสามารถรับประทานสดหรือแช่แข็งก็ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงเบอร์รี่แปรรูปที่มีการเติมน้ำตาล
3. อะโวคาโด
แม้ว่าอะโวคาโดจะมีปริมาณไขมันสูง แต่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fat) ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดระดับ LDL และเพิ่มระดับ HDL อะโวคาโดมีใยอาหารสูงและมีน้ำตาลต่ำมาก (มีค่า GI ต่ำกว่า 15) ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดและไตรกลีเซอไรด์ของวัยทอง
นอกจากนี้ อะโวคาโดยังอุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการออกซิเดชันของ LDL ในวัยทอง จึงเป็นอีกผลไม้ที่แนะนำ
ปริมาณที่แนะนำ:
- ครึ่งผลขนาดกลาง (ประมาณ 50 กรัม) ต่อวัน โดยสามารถนำมาทานแทนเนยหรือมายองเนสได้
ผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ช่วยควบคุมไขมันในเลือด
4. แพร์
แพร์เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยใยอาหารทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้และละลายน้ำไม่ได้ ใยอาหารที่ละลายน้ำได้ในแพร์ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลในลำไส้ ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง แพร์มีค่า GI ปานกลางถึงต่ำ (GI ประมาณ 38) แต่เมื่อคำนวณโหลดน้ำตาลแล้วอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากใยอาหารในแพร์ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล จึงเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่วัยทองสามารถทานได้
ปริมาณที่แนะนำ:
- 1 ผลขนาดกลาง (ประมาณ 150 กรัม) ต่อวัน โดยควรรับประทานทั้งเปลือกเพื่อได้รับประโยชน์จากใยอาหารอย่างเต็มที่
5. ส้ม
ส้มและผลไม้ตระกูลส้มอื่นๆ เช่น ส้มโอ ส้มเขียวหวาน มีวิตามินซีสูงซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการออกซิเดชันของ LDL
นอกจากนี้ส้มยังมีเฮสเพอริดิน (Hesperidin) ซึ่งเป็นสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเกิดหลอดเลือดแข็ง ส้มมีค่า GI ต่ำ (GI ประมาณ 40) และมีใยอาหารสูง โดยเฉพาะเพกตินที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล จึงเหมาะสำหรับวัยทองมากๆ
ปริมาณที่แนะนำ:
- 1 – 2 ผลขนาดกลาง (ประมาณ 150 – 300 กรัม) ต่อวัน โดยควรหลีกเลี่ยงน้ำส้มคั้นเนื่องจากขาดใยอาหารและมีน้ำตาลเข้มข้น
6. พลัม
พลัมและพรุน (พลัมแห้ง) มีใยอาหารสูงโดยเฉพาะซอร์บิทอล (Sorbitol) ซึ่งช่วยในการระบายและป้องกันอาการท้องผูก ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยทอง การขับถ่ายที่ดีมีส่วนช่วยในการขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย พลัมมีค่า GI ต่ำ (GI ประมาณ 24-53 ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์) และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยเฉพาะกลุ่มสารฟีนอลิก
ปริมาณที่แนะนำ:
- พลัมสด 2 – 3 ผล (ประมาณ 100 – 150 กรัม) หรือพรุน 4 – 5 ผล (ประมาณ 50 กรัม) ต่อวัน ควรระวังในการรับประทานพรุนหากมีปัญหาเรื่องน้ำตาลในเลือด เนื่องจากมีความหวานเข้มข้น
ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็ง
7. ทับทิม
ทับทิมอุดมไปด้วยสารพอลิฟีนอล (Polyphenols) โดยเฉพาะพูนิคาลาจิน (Punicalagin) และแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระสูง จากการศึกษาพบว่าการดื่มน้ำทับทิมเป็นประจำ จะสามารถช่วยลดระดับ LDL และลดการเกิดคราบไขมันในหลอดเลือดของวัยทองได้ ซึ่งทับทิมมีค่า GI ปานกลาง (GI ประมาณ 53)
แต่เมื่อคำนวณโหลดน้ำตาลแล้วอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง จึงเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่เหมาะสำหรับวัยทอง
ปริมาณที่แนะนำ:
- ครึ่งผลขนาดกลาง (ประมาณ 100 กรัม) หรือน้ำทับทิมไม่เติมน้ำตาล 120 มิลลิลิตรต่อวัน
8. กีวี
กีวี มีวิตามินซีสูงกว่าส้ม เมื่อเทียบในปริมาณที่เท่ากัน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินอี วิตามินเค โพแทสเซียม และใยอาหาร จากการศึกษาพบว่าการรับประทานกีวีเป็นประจำช่วยลดการรวมตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดในวัยทอง กีวีมีค่า GI ต่ำ (GI ประมาณ 52) และมีโหลดน้ำตาลต่ำ
ปริมาณที่แนะนำ:
- 1 – 2 ผลต่อวัน (ประมาณ 100-200 กรัม)
9. มะเขือเทศ
แม้ว่ามะเขือเทศจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มผักในทางพฤกษศาสตร์ แต่มักถูกนำมาใช้เป็นผลไม้ในหลายวัฒนธรรม มะเขือเทศอุดมไปด้วยไลโคปีน (Lycopene) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดหลอดเลือดแข็งและลดระดับคอเลสเตอรอลในวัยทอง และในมะเขือเทศมีค่า GI ต่ำ (GI ประมาณ 30) และมีโหลดน้ำตาลต่ำมาก
ปริมาณที่แนะนำ:
- 1 – 2 ผลขนาดกลาง (ประมาณ 100-200 กรัม) ต่อวัน โดยการรับประทานมะเขือเทศปรุงสุกจะช่วยเพิ่มการดูดซึมไลโคปีน
ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง ช่วยควบคุมความดันโลหิต
10. กล้วย
กล้วยเป็นแหล่งโพแทสเซียมที่ดี ซึ่งช่วยในการควบคุมความดันโลหิตและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ แม้ว่ากล้วยสุกจะมีค่า GI ปานกลางถึงสูง (GI ประมาณ 60 – 70 ขึ้นอยู่กับความสุก) แต่กล้วยมีใยอาหารสูงโดยเฉพาะแป้งต้านทาน (Resistant Starch) ซึ่งช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและช่วยเพิ่มแบคทีเรียดีในลำไส้
สำหรับวัยทองผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง ควรเลือกรับประทานกล้วยที่ยังไม่สุกมาก (กล้วยห่าม) ซึ่งมีค่า GI ต่ำกว่ากล้วยสุก
ปริมาณที่แนะนำ:
- 1 ผลขนาดกลาง (ประมาณ 100 กรัม) ต่อวัน
11. มะละกอ
มะละกอมีเอนไซม์ปาเปน (Papain) ซึ่งช่วยในการย่อยโปรตีนและช่วยลดการอักเสบในร่างกาย มะละกอยังอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ โพแทสเซียม และใยอาหาร มะละกอสุกมีค่า GI ปานกลาง (GI ประมาณ 60) แต่มะละกอดิบหรือมะละกอห่ามมีค่า GI ต่ำกว่า สำหรับวัยทองผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง ควรเลือกรับประทานมะละกอที่ยังไม่สุกมาก และควรจำกัดปริมาณ
ปริมาณที่แนะนำ:
- 1 ชิ้นขนาดกลาง (ประมาณ 100 กรัม) ต่อวัน
แนวทางการรับประทานผลไม้สำหรับวัยทองที่มีไขมันในเลือดสูง
การรับประทานผลไม้เป็นส่วนสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี แม้สำหรับผู้สูงวัยและวัยทองที่มีไขมันในเลือดสูงก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกชนิด ปริมาณ และวิธีการรับประทานผลไม้อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ลองมาดูวิธีการและแนวทางการทานผลไม้ที่ถูกต้องสำหรับวัยทองกัน
หลักการสำคัญในการเลือกรับประทานผลไม้
1. เลือกผลไม้ตามค่าดัชนีน้ำตาล (GI) และโหลดน้ำตาล (GL) ต่ำถึงปานกลาง
ผลไม้ที่มีค่า GI และ GL ต่ำ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของวัยทองเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ไม่ทำให้ร่างกายต้องหลั่งอินซูลินในปริมาณมากเกินไป ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ควรเลือกผลไม้ที่มีค่า GI ต่ำกว่า 55 และค่า GL ต่ำกว่า 10
2. คำนึงถึงปริมาณการรับประทานต่อครั้ง
แม้ว่าวัยทองจะเลือกผลไม้ที่มีค่า GI ต่ำ แต่การรับประทานในปริมาณมากเกินไป ก็สามารถทำให้ได้รับน้ำตาลในปริมาณสูงได้ วัยทองจึงควรจำกัดปริมาณการรับประทานผลไม้ให้เหมาะสม โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 1 – 2 ส่วนต่อวัน (1 ส่วน ประมาณ 100 – 120 กรัม)
3. รับประทานผลไม้ทั้งผลแทนการดื่มน้ำผลไม้
การรับประทานผลไม้ทั้งผล จะทำให้วัยทองได้รับใยอาหารซึ่งช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ในขณะที่น้ำผลไม้มักมีน้ำตาลเข้มข้นและขาดใยอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระดับน้ำตาลและอินซูลินในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
4. เลือกรับประทานผลไม้ตามฤดูกาล
ผลไม้ตามฤดูกาล มักมีรสชาติดีและคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการเร่งให้สุกด้วยสารเคมี ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ จึงเป็นอีกผลไม้ที่แนะนำ
5. หลีกเลี่ยงผลไม้แปรรูปหรือผลไม้กระป๋อง
ผลไม้แปรรูป หรือผลไม้กระป๋อง มักมีการเติมน้ำตาลเพื่อเพิ่มรสชาติ ทำให้มีปริมาณน้ำตาลสูงกว่าผลไม้สด นอกจากนี้ยังอาจมีการเติมสารกันเสียหรือสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของวัยทองได้
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานผลไม้
1. รับประทานผลไม้เป็นอาหารว่างระหว่างมื้อ
การรับประทานผลไม้เป็นอาหารว่างระหว่างมื้อ จะช่วยให้ร่างกายของวัยทองได้รับพลังงานและสารอาหารที่จำเป็น โดยไม่ทำให้รู้สึกหิวมากเกินไปในมื้อหลัก ซึ่งอาจนำไปสู่การรับประทานอาหารมากเกินความจำเป็น
2. รับประทานผลไม้หลังออกกำลังกาย
หลังการออกกำลังกาย ร่างกายจะมีความไวต่ออินซูลินมากขึ้น ทำให้วัยทองสามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรับประทานผลไม้ในช่วงเวลานี้จะช่วยเติมพลังงานให้ร่างกายโดยไม่ส่งผลเสียต่อระดับไตรกลีเซอไรด์มากนัก
3. หลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้หลังอาหารมื้อหลักทันที
การรับประทานผลไม้หลังอาหารมื้อหลักทันที อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นมากเกินไป วัยทองควรเว้นช่วงอย่างน้อย 1 – 2 ชั่วโมงหลังมื้ออาหาร
4. หลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้ก่อนนอน
การที่วัยทองรับประทานผลไม้ก่อนนอนนั้น อาจทำให้ร่างกายไม่ได้ใช้พลังงานจากน้ำตาลในผลไม้ ส่งผลให้น้ำตาลส่วนเกินถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์สะสมในร่างกาย
วิธีการรับประทานผลไม้อย่างเหมาะสม
1. รับประทานร่วมกับโปรตีนหรือไขมันดี
การรับประทานผลไม้ร่วมกับโปรตีนหรือไขมันดี เช่น นมไขมันต่ำ โยเกิร์ตไขมันต่ำ หรือถั่วไม่เติมเกลือ จะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและทำให้วัยทองนั้นอิ่มนานขึ้น ลดความเสี่ยงในการรับประทานอาหารมากเกินไปให้กับร่างกายอีกด้วย
2. เลือกวิธีการปรุงที่เหมาะสม
วัยทองควรรับประทานผลไม้สดหรือผ่านการปรุงอย่างเหมาะสม เช่น นึ่ง อบ หรือย่าง โดยไม่เติมน้ำตาล น้ำผึ้ง หรือสารให้ความหวานอื่นๆ หลีกเลี่ยงการทอดหรือเชื่อม ซึ่งจะเพิ่มปริมาณน้ำตาลและไขมันไม่ดี
3. ใช้สมุนไพรหรือเครื่องเทศเพิ่มรสชาติ
วัยทองสามารถเพิ่มรสชาติให้กับผลไม้ที่มีรสจืด ด้วยสมุนไพรหรือเครื่องเทศที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น อบเชยซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หรือขิงซึ่งช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ แทนการเติมน้ำตาลหรือเกลือ
นอกจากการรับประทานผลไม้ที่ได้รับประโยชน์อย่างถูกต้อง และไม่เป็นผลไม้ห้ามกินสำหรับวัยทองแล้ว การได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับวัยทอง ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ดีไม่ได้น้อย เพราะหากทานไม่ถึงตามโภชนาการ อย่างน้องก็ยังมีสารอาหารเหล่านี้ที่เข้ามาทดแทน และแน่นอนว่าเรากำลังพูดถึง อาหารเสริม
ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ทางเลือกเพื่อการดูแลสุขภาพวัยทองสำหรับคุณผู้หญิง
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดแคปซูลที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนสุขภาพที่ดีในช่วงวัยทอง โดยในหนึ่งขวดประกอบด้วย 30 แคปซูล ซึ่งแต่ละแคปซูลอุดมไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ 6 ชนิดที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง
- สารสกัดจากถั่วเหลืองนำเข้าจากประเทศสเปน
- สารสกัดจากตังกุย
- สารสกัดจากแปะก๊วย
- สารสกัดจากงาดำ
- ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่
- อินูลิน พรีไบโอติก
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
จากการผสมผสานสารสกัดธรรมชาติทั้ง 6 ชนิด ดีเน่ ฟลาโวพลัสอาจให้ประโยชน์ต่อผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูงในหลายด้าน ดังนี้
- ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน โดยเฉพาะในวัยทองที่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศ สารสกัดจากถั่วเหลืองและตังกุยอาจช่วยปรับสมดุลและบรรเทาอาการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- สนับสนุนการลดระดับไขมันในเลือด สารสกัดจากงาดำ ถั่วเหลือง และอินูลินมีคุณสมบัติในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดให้กับวัยทองนั่นเอง
- ปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด สารสกัดจากแปะก๊วยและตังกุยช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือดและปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ให้กับวัยทอง
- ต้านการอักเสบและออกซิเดชัน สารต้านอนุมูลอิสระจากแครนเบอร์รี่ แปะก๊วย และงาดำช่วยลดการอักเสบในร่างกายของวัยทอง และปกป้องเซลล์จากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ
- สนับสนุนสุขภาพระบบทางเดินอาหาร อินูลินพรีไบโอติกช่วยส่งเสริมการเจริญของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมและการควบคุมระดับไขมันในเลือด
และ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่เข้าสู่วัยทอง ส่วนประกอบจากสารสกัดธรรมชาติ 7 ชนิดที่ได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อสนับสนุนสุขภาพโดยรวมและช่วยบรรเทาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงวัยทอง
- สารสกัดจากโสมเกาหลี
- สารสกัดจากฟีนูกรีก
- แอล อาร์จีนีน
- สารสกัดกระชายดำ
- ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท
- สารสกัดจากแปะก๊วย (Ginkgo Biloba)
- สารสกัดจากงาดำ (Black Sesame)
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
จากบทความที่เราเขียนแนะนำคุณผู้อ่านเกี่ยวกับวัยทองที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง จะเห็นได้ว่าส่วนประกอบหลายอย่างใน ดีเน่ แอนโดรพลัส มีคุณสมบัติที่ช่วยสนับสนุนการจัดการกับภาวะดังกล่าวหลายประการ อาทิ
- สารสกัดจากโสมเกาหลี ฟีนูกรีก และงาดำ ช่วยลดระดับไขมันในเลือดและไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่กล่าวถึงในบทความ
- แอล อาร์จีนีนและสารสกัดจากแปะก๊วย ช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากไขมันในเลือดสูงตามที่กล่าวไว้ในบทความ
- สารสกัดกระชายดำและซิงค์ ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งมีความสัมพันธ์กับไตรกลีเซอไรด์สูงและภาวะดื้อต่ออินซูลิน ที่เป็นปัญหาในวัยทองตามที่กล่าวถึงในเอกสาร
เพื่อประโยชน์สูงสุดในการป้องกันอาหารเป็นพิษและเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมสำหรับวัยทอง ควรรับประทานวันละ 1 แคปซูล ในมื้ออาหารที่สะดวก พร้อมน้ำสะอาด และควรรับประทานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
แม้ว่า ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ทางเลือกเพื่อการดูแลสุขภาพวัยทองสำหรับคุณผู้หญิง และ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่เข้าสู่วัยทอง อาจมีประโยชน์ต่อผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง แต่การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการควบคุมระดับไขมันในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำควบคู่กันไป จึงเป็นประโยชน์ให้กับคุณผู้อ่านดูแลตนเองแบบดับเบิ้ล
- การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม แนะนำให้วัยทองหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูง ลดการบริโภคน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีมาก และหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย มะม่วงสุก ตามที่แนะนำในบทความเรื่องไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูงในวัยทอง
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ช่วยเพิ่มระดับ HDL และลดระดับ LDL และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
- การรักษาน้ำหนักที่เหมาะสม ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนมีความสัมพันธ์โดยตรงกับระดับไขมันในเลือดที่ผิดปกติ การลดน้ำหนักเพียง 5-10% ของน้ำหนักตัวในผู้ที่มีน้ำหนักเกินอาจช่วยปรับปรุงระดับไขมันในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ
- การลดความเครียด ความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลเสียต่อระดับไขมันในเลือด การฝึกเทคนิคผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการหายใจลึก ๆ อาจช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวมและระดับไขมันในเลือด
- การงดสูบบุหรี่และจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ลดระดับ HDL และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ในขณะที่การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
สัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์โดยเร่งด่วนสำหรับวัยทอง
สำหรับวัยทองผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง ควรเฝ้าระวังสัญญาณเตือนของโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งหากพบอาการต่อไปนี้ ควรพบแพทย์โดยเร่งด่วน
- เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก โดยเฉพาะเมื่อมีอาการร่วมกับเหงื่อออก คลื่นไส้ หรือหายใจลำบาก
- ปวดร้าว ที่แขน คอ หรือกราม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของอาการเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด
- หายใจลำบาก หรือหายใจถี่ผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อนอนราบหรือออกแรงเล็กน้อย
- อ่อนแรงหรือชา ที่ใบหน้า แขน หรือขาข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง
- พูดไม่ชัด สับสน หรือมีปัญหาในการมองเห็น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง
- ปวดศีรษะรุนแรงผิดปกติ โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นพร้อมกับอาการอื่นๆ ข้างต้น
สรุป
การมีไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูงไม่ได้หมายความว่า…คุณผู้อ่านที่เป็นวัยทองจะไม่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างค่อยเป็นค่อยไปและสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณผู้อ่านสามารถควบคุมระดับไขมันในเลือดและมีสุขภาพที่ดีได้ในระยะยาว
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะมีภาวะไขมันในเลือดสูงและไตรกลีเซอไรด์สูงมานานเพียงใด การเริ่มต้นดูแลสุขภาพให้เป็นเป้าหมาย 2025 08: 01/68 ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม ร่วมกับการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมระดับไขมันในเลือดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในระยะยาว อย่าลืมว่าสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การลงทุนเวลาและความพยายาม และไม่มีใครสามารถดูแลสุขภาพของคุณได้ดีเท่ากับตัวคุณเอง