คุณผู้อ่านที่เป็นวัยทองท่านใด? กำลังประสบหรือเคยพบเจอกับอาการนี้อยู่บ้าง “กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” ปัจจุบันได้เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทอง แม้จะเป็นเรื่องที่หลายคนรู้สึกอึดอัดใจที่จะพูดถึง แต่ความจริงแล้ว นี่คืออาการที่พบได้ทั่วไปและมีแนวทางจัดการที่มีประสิทธิภาพ การเข้าใจถึงสาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ จะช่วยให้ผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทองหรืออยู่ในช่วงวัยทองสามารถรับมือได้อย่างมั่นใจ
หากดูตัวเลขในประเทศไทย จะมีประชากรวัยทองอายุระหว่าง 45 – 55 ปี ที่ประสบปัญหา “กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” มากถึงร้อยละ 25 – 30 ซึ่งถือว่าเยอะมากเลยทีเดียว และในตัวเลขนี้พบเป็นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 – 3 เท่า สถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ภาวะนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกและคุณผู้อ่านหรือผู้ที่เป็นวัยทองไม่ได้เผชิญกับปัญหานี้เพียงลำพัง ดังนั้น ลองมาทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการ “กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” เพื่อช่วยลดความกังวลที่อาจเกิดขึ้น และเปิดโอกาสให้คุณผู้อ่านได้รับรู้วิธีป้องกันและการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะการรักษาที่ทันท่วงทีมักให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า และช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมาในอนาคตได้
ดูและเรียนรู้ร่างกายของวัยทองการเปลี่ยนแปลงของร่างกายทำให้ระบบต่างๆ เปลี่ยนไป
ระบบทางเดินปัสสาวะในวัยทองเปลี่ยนไปจากวัยก่อนหน้ามากน้อยแค่ไหน?
เมื่อร่างกายเข้าสู่ “วัยทอง” ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงในหลายระบบ และหนึ่งในนั้นก็รวมถึงระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหา “กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” ได้ง่ายขึ้น
- การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิง ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะบางลงและยืดหยุ่นน้อยลง
- การเปลี่ยนแปลงของต่อมลูกหมากในผู้ชาย อาจทำให้เกิดการอุดกั้นของท่อปัสสาวะบางส่วน
- กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรงลง จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการเสื่อมตามวัย
- ความจุของกระเพาะปัสสาวะลดลง ทำให้ต้องปัสสาวะบ่อยขึ้น
- การตอบสนองของระบบประสาทช้าลง อาจทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะแบบกะทันหัน หรือไม่ทันรู้ตัวว่าปัสสาวะใกล้เต็มกระเพาะ
ประเภทของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่พบบ่อยในวัยทอง
ภาวะ “กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” ที่พบได้ในวัยทองไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียวนะคุณผู้อ่าน เพราะมีหลายประเภทที่มีสาเหตุ อาการ และแนวทางการรักษาที่แตกต่างกัน การเข้าใจประเภทต่างๆ จะช่วยให้คุณผู้อ่านที่มีปัญหานี้สามารถอธิบายอาการของตนเองกับแพทย์ได้อย่างชัดเจน และได้รับการรักษาที่ตรงจุดมากยิ่งขึ้น ในวัยทองมีประเภทของภาวะ “กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” ที่พบบ่อย ดังนี้
1. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เมื่อมีความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น (Stress Urinary Incontinence – SUI)
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชนิด SUI เป็นประเภทที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิงวัยทอง ซึ่งเกิดจากการที่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและกล้ามเนื้อหูรูดท่อปัสสาวะอ่อนแรง ทำให้วัยทองไม่สามารถต้านทานแรงดันที่เพิ่มขึ้นในช่องท้องได้
ลักษณะอาการ
- มีปัสสาวะเล็ดออกมาเมื่อไอ จาม หัวเราะ ยกของหนัก ออกกำลังกายที่มีแรงกระแทก
- มักเกิดขึ้นในปริมาณน้อยถึงปานกลาง
- ผู้ป่วยมักไม่รู้สึกปวดปัสสาวะก่อนมีอาการ
- อาการมักแย่ลงเมื่อกระเพาะปัสสาวะมีปัสสาวะในปริมาณมาก
สาเหตุหลักในวัยทอง
- การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยทอง ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณอุ้งเชิงกรานอ่อนแอลง
- ประวัติการคลอดบุตรทางช่องคลอดหลายครั้ง
- ภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน ทำให้มีแรงกดทับบริเวณช่องท้องมากขึ้น
- การสูบบุหรี่เรื้อรัง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไอเรื้อรัง
- ภาวะทางพันธุกรรมที่ทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันอ่อนแอ
2. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เมื่อมีแรงอยากปัสสาวะกะทันหัน (Urge Urinary Incontinence – UUI)
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชนิด UUI หรือที่เรียกอีกอย่างว่าภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน มักเกิดจากกระเพาะปัสสาวะบีบตัวแบบไม่สามารถควบคุมได้
ลักษณะอาการ
- วัยทองจะมีความรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างรุนแรงและกะทันหัน
- ไม่สามารถกลั้นได้จนถึงห้องน้ำ
- มักปัสสาวะบ่อย แม้ในปริมาณน้อย
- อาจตื่นกลางดึกเพื่อปัสสาวะมากกว่า 2 ครั้ง
- ปริมาณที่เล็ดออกมามักมากกว่าชนิด SUI
สาเหตุหลักในวัยทอง
- การเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะ
- ภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ดี ทำให้มีปัสสาวะมากกว่าปกติ
- โรคทางระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน โรคหลอดเลือดสมอง
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ
3. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบผสม (Mixed Urinary Incontinence – MUI)
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบผสม เป็นการเกิดทั้งอาการของ SUI และ UUI ร่วมกัน พบได้บ่อยในวัยทอง โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุเกิน 50 ปี
ลักษณะอาการ
- มีทั้งอาการเล็ดเมื่อออกแรง และอาการปวดปัสสาวะกะทันหัน
- ความรุนแรงของแต่ละประเภทอาจไม่เท่ากัน บางคนอาจมีอาการ SUI มากกว่า UUI หรือในทางกลับกัน
- การรักษามักซับซ้อนกว่าเนื่องจากต้องจัดการกับสาเหตุทั้งสองประเภท
4. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จากการอุดกั้น (Overflow Incontinence)
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชนิดนี้ เกิดจากมีสิ่งอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ หรือกระเพาะปัสสาวะไม่สามารถบีบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีปัสสาวะตกค้างในกระเพาะมาก จนล้นออกมาโดยไม่สามารถควบคุมได้
ลักษณะอาการ
- มีปัสสาวะเล็ดออกมาเรื่อยๆ ในปริมาณน้อย
- รู้สึกว่าปัสสาวะไม่สุด หรือไม่โล่ง
- ปัสสาวะออกมาเป็นสายเล็กๆ หรือหยดๆ
- อาจมีอาการปัสสาวะลำบาก ต้องเบ่ง หรือรอนาน
สาเหตุหลักในวัยทอง
- ในผู้ชาย มักเกิดจากต่อมลูกหมากโต ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ชายวัยทอง
- โรคเบาหวาน ที่ส่งผลต่อเส้นประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะ
- ผลจากการผ่าตัดบริเวณอุ้งเชิงกรานหรือกระเพาะปัสสาวะ
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยากลุ่ม Anticholinergic ที่ลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ
- โรคทางระบบประสาทที่ส่งผลต่อการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ เช่น Multiple Sclerosis
5. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชนิดหน้าที่บกพร่อง (Functional Incontinence)
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชนิดนี้ ไม่ได้เกิดจากปัญหาที่ระบบทางเดินปัสสาวะโดยตรง แต่เกิดจากปัญหาทางร่างกายหรือจิตใจที่ทำให้ไม่สามารถไปถึงห้องน้ำได้ทันเวลา
ลักษณะอาการ
- ไม่สามารถไปถึงห้องน้ำได้ทันเวลาแม้จะรับรู้ความต้องการปัสสาวะ
- มักพบร่วมกับปัญหาการเคลื่อนไหว การทรงตัว หรือความจำเสื่อม
- อาจเกิดเป็นครั้งคราวหรือเป็นประจำ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและความช่วยเหลือที่ได้รับ
สาเหตุหลักในวัยทอง
- ปัญหาการเคลื่อนไหว เช่น ข้อเข่าเสื่อม โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- โรคพาร์กินสัน ที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว
- ภาวะสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ ที่อาจทำให้ลืมความต้องการปัสสาวะ หรือลืมตำแหน่งของห้องน้ำ
- ภาวะซึมเศร้า ที่อาจทำให้ไม่มีแรงจูงใจในการเดินไปห้องน้ำ
- สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ห้องน้ำอยู่ไกล มีสิ่งกีดขวาง แสงสว่างไม่เพียงพอ
6. ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชั่วคราว (Transient Incontinence)
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชั่วคราว เป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราวจากสาเหตุที่สามารถแก้ไขได้ เมื่อรักษาสาเหตุ อาการก็จะหายไป
ลักษณะอาการ
- อาการเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ไม่ได้เป็นมานาน
- อาการอาจคล้ายกับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ประเภทใดประเภทหนึ่ง หรือหลายประเภทร่วมกัน
- มักสัมพันธ์กับการเจ็บป่วยเฉียบพลัน การใช้ยา หรือสภาวะทางจิตใจ
สาเหตุหลักในวัยทอง
- การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI) ซึ่งพบบ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้หญิง
- ภาวะท้องผูก รุนแรง ที่ส่งผลกดทับกระเพาะปัสสาวะ
- ยาบางประเภท เช่น ยาขับปัสสาวะ ยานอนหลับ ยาแก้ปวด
- ภาวะสับสนเฉียบพลัน (Delirium) จากการเจ็บป่วย หรือการผ่าตัด
- การบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ หรืออาหารที่ระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะ
- ภาวะซึมเศร้าหรือความเครียดรุนแรง
และนี่ก็คือประเภทของภาวะ “กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” ที่เราได้นำมาแยกให้คุณผู้อ่านที่เป็นวัยทอง หรือผู้ที่กำลังมีอาการได้ตระหนักถึงประเภทและลักษณะอาการที่แตกต่างกันของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้ที่มีปัญหานี้สามารถพูดคุยกับแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นำไปสู่การวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งในหลายกรณี สามารถรักษาให้หายขาดหรือบรรเทาอาการลงได้อย่างมาก ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกครั้ง
สาเหตุของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในวัยทอง
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามวัย
เมื่อเข้าสู่วัยทองร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลโดยตรงต่อระบบทางเดินปัสสาวะ ดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ
- ในผู้หญิง การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้เนื้อเยื่อบริเวณท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ และกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานบางลง สูญเสียความยืดหยุ่น และมีความแข็งแรงลดลง
- ในผู้ชาย การเปลี่ยนแปลงสมดุลของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและฮอร์โมนเอสโตรเจนมีผลต่อการขยายตัวของต่อมลูกหมาก นำไปสู่ภาวะต่อมลูกหมากโต
2. การเสื่อมของกล้ามเนื้อ
- กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ซึ่งทำหน้าที่รองรับอวัยวะในอุ้งเชิงกรานและช่วยในการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะมีความแข็งแรงลดลงตามอายุ
- กล้ามเนื้อหูรูดภายในและภายนอกอ่อนแรงลง ทำให้ความสามารถในการกลั้นปัสสาวะลดลง
- กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะมีความยืดหยุ่นลดลง ส่งผลให้ความจุของกระเพาะปัสสาวะลดลงและการบีบตัวอาจไม่สมบูรณ์
3. การเปลี่ยนแปลงของระบบประสาท
- ประสิทธิภาพของระบบประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะลดลง ทำให้การส่งสัญญาณระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับสมองช้าลงหรือไม่แม่นยำ
- อาจเกิดภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน ซึ่งกระเพาะปัสสาวะบีบตัวโดยที่ยังไม่เต็ม
- สมองส่วนที่ควบคุมการยับยั้งปัสสาวะอาจมีประสิทธิภาพลดลง ทำให้การตัดสินใจและการควบคุมการขับถ่ายลดประสิทธิภาพลง
4. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบทางเดินปัสสาวะ
- ความจุของกระเพาะปัสสาวะลดลงจากประมาณ 500 – 600 มิลลิลิตรเหลือเพียง 250 – 300 มิลลิลิตร ทำให้วัยทองต้องปัสสาวะบ่อยขึ้น
- เนื้อเยื่อบุผนังกระเพาะปัสสาวะบางลง มีความไวต่อการอักเสบและการติดเชื้อมากขึ้น
- ในผู้หญิงวัยทอง ตำแหน่งของกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะอาจเปลี่ยนไปเนื่องจากการหย่อนของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
โรคและภาวะที่เกี่ยวข้อง
คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า… นอกจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามวัยแล้ว โรคและภาวะทางการแพทย์หลายอย่างยังเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในวัยทองได้อีกด้วย ซึ่งมี…
1. โรคระบบประสาทและสมอง
- โรคหลอดเลือดสมอง ทำให้การควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะโดยสมองบกพร่อง
- โรคพาร์กินสัน มีผลต่อการควบคุมกล้ามเนื้อและการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ
- ภาวะสมองเสื่อม ส่งผลต่อการรับรู้ความต้องการในการขับถ่ายและการหาห้องน้ำ
- โรคเส้นประสาทเสื่อม ทำให้การรับความรู้สึกของวัยทองจากกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ
2. โรคเรื้อรังที่พบบ่อย 13:03/68
- โรคเบาหวาน ทำให้วัยทองมีปริมาณปัสสาวะมากขึ้นและอาจเกิดภาวะเส้นประสาทเสื่อม
- โรคความดันโลหิตสูง มักต้องใช้ยาขับปัสสาวะ ซึ่งเพิ่มปริมาณและความถี่ในการปัสสาวะ
- ภาวะอ้วน เพิ่มแรงกดดันต่อกระเพาะปัสสาวะ และกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
- โรคปอดเรื้อรัง ทำให้วัยทองเกิดอาการไอเรื้อรัง ซึ่งเพิ่มแรงดันในช่องท้อง
3. ภาวะเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะ
- การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ก่อให้เกิดอาการปวดปัสสาวะเร่งด่วนและบ่อยครั้งในวัยทอง
- ต่อมลูกหมากโต พบบ่อยในผู้ชายอายุเกิน 50 ปี ทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะบางส่วน
- นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ อาจทำให้เกิดการอุดตันหรือระคายเคืองในระบบทางเดินปัสสาวะ
- มะเร็งกระเพาะปัสสาวะหรือต่อมลูกหมาก อาจทำให้เกิดอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เป็นอาการแรกๆ
4. ภาวะหย่อนของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน (ในผู้หญิง)
- ภาวะกระเพาะปัสสาวะหย่อน กระเพาะปัสสาวะยื่นลงมาในช่องคลอด
- ภาวะมดลูกหย่อน มดลูกเคลื่อนต่ำลงมากดทับกระเพาะปัสสาวะ
- ภาวะทวารหนักหย่อน ทวารหนักยื่นเข้ามาในช่องคลอด ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงและการดำเนินการวิถีชีวิตในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เป็นสาเหตุ “กลั้นปัสสาวะไม่อยู่”
วิถีชีวิตและปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบันก็เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในวัยทองได้เช่นกัน คุณผู้อ่านเคยลองทำแบบนี้ในอดีตที่ผ่านมาหรือไม่?
1. ประวัติทางสูติกรรม (ในผู้หญิง)
- การคลอดบุตรทางช่องคลอดหลายครั้ง โดยเฉพาะการคลอดบุตรที่มีน้ำหนักตัวมาก
- การคลอดยาก หรือการใช้เครื่องมือช่วยคลอด เช่น คีมหรือเครื่องดูดสุญญากาศ
- การตัดฝีเย็บ ขณะคลอดที่อาจส่งผลต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานในระยะยาว
2. ปัจจัยด้านอาหารและเครื่องดื่ม
- การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน (เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม) มากเกินไป ซึ่งมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
- การบริโภคแอลกอฮอล์ซึ่งมีผลขับปัสสาวะและลดการควบคุมกล้ามเนื้อ
- อาหารเผ็ด อาหารรสจัด หรืออาหารที่มีกรดสูง อาจกระตุ้นกระเพาะปัสสาวะ
- การดื่มน้ำไม่เพียงพอทำให้ปัสสาวะเข้มข้น ซึ่งอาจระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะ
3. พฤติกรรมการขับถ่าย
- การกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานเป็นประจำ ทำให้กระเพาะปัสสาวะขยายตัวผิดปกติ
- การรีบปัสสาวะและไม่รอให้กระเพาะปัสสาวะว่างสมบูรณ์ ทำให้มีปัสสาวะตกค้าง
- การเบ่งถ่ายอุจจาระแรงเกินไปเป็นประจำ อาจทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง
4. ยาและการรักษาทางการแพทย์
- ยาขับปัสสาวะ ใช้รักษาความดันโลหิตสูงและภาวะบวมน้ำ เพิ่มปริมาณปัสสาวะ
- ยากล่อมประสาท ลดความตระหนักรู้ต่อสัญญาณปวดปัสสาวะ
- ยาต้านฮิสตามีน อาจมีผลข้างเคียงทำให้กระเพาะปัสสาวะเกร็งตัว
- ยาลดความดันโลหิต บางชนิดอาจทำให้กล้ามเนื้อหูรูดคลายตัว
- การผ่าตัดในช่องท้องหรืออุ้งเชิงกราน อาจส่งผลต่อเส้นประสาทและกล้ามเนื้อในบริเวณดังกล่าว
- การฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกราน อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือเนื้อเยื่อเป็นแผลเป็น
5. ปัจจัยด้านจิตใจและอารมณ์
- ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล ซึ่งพบบ่อยในวัยทองและผู้สูงอายุอาจส่งผลต่อการรับรู้และการควบคุมการขับถ่าย
- ความเครียดเรื้อรัง อาจกระตุ้นให้กระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ
- การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทและฮอร์โมน
ปัจจัยจากร่างกายและความเสี่ยงทางพันธุกรรม
1. ปัจจัยทางพันธุกรรม
- ประวัติครอบครัวที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยเฉพาะมารดาหรือพี่น้องสตรี
- ลักษณะทางกายวิภาคของอุ้งเชิงกรานและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
- ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น Ehlers-Danlos syndrome
2. ปัจจัยทางกายภาพ
- น้ำหนักตัวและดัชนีมวลกาย (BMI) โดยผู้ที่มีภาวะอ้วนมีความเสี่ยงสูงกว่า
- ความสูงและโครงสร้างร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลต่อแรงกดดันในช่องท้อง
- สัดส่วนของกล้ามเนื้อและไขมันในร่างกาย โดยผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อน้อยมีความเสี่ยงสูงกว่า
3. ประวัติสุขภาพตลอดชีวิต
- การเจ็บป่วยเรื้อรังตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- การออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพตลอดชีวิต
- การตั้งครรภ์และการคลอดบุตรในอดีต (สำหรับผู้หญิง)
- ประวัติการผ่าตัดบริเวณช่องท้องหรืออุ้งเชิงกราน
“กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” ในวัยทอง สามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุที่มักเกี่ยวข้องกันแบบซับซ้อน ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงร่างกายตามวัย โรคประจำตัว ไปจนถึงพฤติกรรมและวิถีชีวิต ความเข้าใจสาเหตุเหล่านี้อย่างถ่องแท้จะช่วยให้ผู้ป่วยและแพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ
“กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ปัญหาที่มักถูกมองข้าม
“กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” ในวัยทอง มักเป็นอาการที่ถูกมองว่าเป็นเพียงความไม่สะดวกทางกายภาพ แต่ความจริงแล้ว ผลกระทบของภาวะนี้ลึกซึ้งกว่าที่คุณผู้อ่านหลายท่านตระหนัก โดยส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในหลากหลายมิติ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม
การเข้าใจผลกระทบเหล่านี้จะช่วยให้คุณผู้อ่านที่มีภาวะนี้และครอบครัว รวมถึงคนรอบตัวได้ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาและการจัดการปัญหาอย่างเหมาะสมด้วย
ผลกระทบทางร่างกาย
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ไม่เพียงแต่สร้างความไม่สบายเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่ร้ายแรงได้ในอนาคต
- การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำซ้อน ความชื้นที่เกิดจากปัสสาวะเล็ด เป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้บ่อยครั้ง
- ปัญหาผิวหนัง ผิวหนังที่สัมผัสกับปัสสาวะเป็นเวลานาน อาจเกิดการระคายเคือง อักเสบ เป็นผื่นแดง หรือแผลกดทับในกรณีที่รุนแรง
- การนอนหลับที่แย่ลง วัยทองที่ต้องตื่นกลางดึกเพื่อเข้าห้องน้ำบ่อยครั้ง ทำให้การนอนหลับไม่ต่อเนื่อง ส่งผลต่อคุณภาพการนอนและพลังงานในวันถัดไป
- ความเสี่ยงต่อการหกล้ม โดยเฉพาะในวัยทองและผู้สูงอายุ การรีบเข้าห้องน้ำกลางดึกเพื่อตอบสนองต่อความรู้สึกปวดปัสสาวะกะทันหัน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการหกล้มและกระดูกหัก
- ภาวะขาดน้ำ วัยทองบางคนอาจลดการดื่มน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงการปัสสาวะบ่อย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา
ผลกระทบทางจิตใจและอารมณ์
ผลกระทบทางจิตใจจากภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หลายท่านมักได้รับความสนใจน้อยกว่าผลกระทบทางกาย แต่ความจริงแล้วมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
- ความวิตกกังวล วัยทองอาจมีความกลัวว่าจะมีอุบัติเหตุปัสสาวะเล็ดในที่สาธารณะ สร้างความวิตกกังวลอย่างต่อเนื่อง และอาจนำไปสู่ภาวะวิตกกังวลทางคลินิก
- ความอับอาย วัยทองบางท่านอาจมีความรู้สึกอับอายที่ต้องสวมผ้าอ้อมผู้ใหญ่ หรือผลิตภัณฑ์ดูดซับปัสสาวะ หรือเมื่อมีกลิ่นที่ผู้อื่นอาจสังเกตได้
- ภาวะซึมเศร้า จากหลายการศึกษาพบว่า วัยทองหรือผู้ที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีแนวโน้มเกิดภาวะซึมเศร้าสูงกว่าประชากรทั่วไป 2 – 3 เท่าเลยทีเดียว
- การสูญเสียความมั่นใจ วัยทองอาจมีความมั่นใจในตนเองลดลง โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเพศสัมพันธ์
- ความเครียด การต้องวางแผนกิจกรรมต่างๆ รอบการเข้าถึงห้องน้ำ สร้างความเครียดอย่างต่อเนื่องให้กับวัยทองที่มีอาการดังกล่าว
ผลกระทบทางสังคม
ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชีวิตทางสังคมและความสัมพันธ์
- การแยกตัวจากสังคม วัยทองหลายท่านเลือกที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ทางสังคม เช่น งานเลี้ยง การท่องเที่ยว หรือการรวมตัวที่อาจไม่มีห้องน้ำสะดวก
- ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์กับคู่ครองอาจได้รับผลกระทบ ทั้งในด้านความสนิทสนม ความใกล้ชิดทางกาย และความสัมพันธ์ทางเพศ
- ข้อจำกัดในการทำกิจกรรม กิจกรรมหลายอย่าง เช่น การออกกำลังกาย การเดินทางไกล หรือการดูภาพยนตร์ที่มีระยะเวลานาน อาจกลายเป็นความท้าทาย
- ผลกระทบต่อการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานอาจลดลงจากการต้องเข้าห้องน้ำบ่อย หรือความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น
- การตีตราทางสังคม สังคมยังคงตีตราปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ทำให้ผู้ที่มีภาวะนี้อาจไม่กล้าพูดคุยกับคนอื่นหรือแม้แต่แพทย์เกี่ยวกับปัญหาของตน
ผลกระทบของภาวะ “กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” ต่อคุณภาพชีวิตวัยทอง มีความลึกซึ้งและกว้างขวางมากกว่าที่คุณผู้อ่านหลายคนตระหนัก แต่การพูดคุยอย่างเปิดเผยกับแพทย์และการเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสม สามารถฟื้นฟูคุณภาพชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ ความเข้าใจเรื่องผลกระทบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ที่มีภาวะนี้เข้าใจความรู้สึกของตนเองได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และสังคมโดยรวมมีความเข้าใจและมีท่าทีสนับสนุนมากขึ้นด้วย
แนวทางการรักษาสำหรับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
การรักษาภาวะ “กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” ในวัยทองมีหลายแนวทาง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของอาการ การรักษาที่เหมาะสมเริ่มต้นจากการวินิจฉัยที่ถูกต้องโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะพิจารณาทั้งประวัติผู้ป่วย การตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น เพื่อกำหนดแผนการรักษาเฉพาะบุคคลนั่นเอง
การรักษาทางยาจากแพทย์
1. ยารักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน (Overactive Bladder)
สำหรับวัยทองที่มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่แบบ UUI (Urge Urinary Incontinence) แพทย์อาจพิจารณาใช้ยากลุ่มต่อต้านการทำงานของตัวรับโคลิเนอร์จิก (Anticholinergic drugs) ซึ่งช่วยลดการบีบตัวที่ผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ ยาในกลุ่มนี้
- โอซิบูทินิน (Oxybutynin) – มีทั้งชนิดรับประทานและแผ่นแปะผิวหนัง
- โทลเทอโรดีน (Tolterodine) – มีผลข้างเคียงน้อยกว่าโอซิบูทินิน
- โซลิเฟนาซิน (Solifenacin) – ออกฤทธิ์ยาวและมีผลข้างเคียงต่อระบบประสาทส่วนกลางน้อย
- ทรอสเปียม (Trospium) – เหมาะสำหรับผู้สูงอายุเนื่องจากเข้าสู่สมองได้น้อย
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ ปากแห้ง ท้องผูก ตาพร่า วิงเวียน สับสน (โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ)
2. ยากลุ่ม Beta-3 adrenergic agonists
เป็นยาทางเลือกใหม่สำหรับวัยทองที่ไม่สามารถทนผลข้างเคียงของยากลุ่ม Anticholinergic
- มิราเบกรอน (Mirabegron) – ช่วยเพิ่มความจุของกระเพาะปัสสาวะและลดการบีบตัวแบบไม่สมัครใจ
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้: ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ อาการคล้ายไข้หวัด
3. ฮอร์โมนทดแทนเฉพาะที่ (Local Hormone Replacement)
สำหรับผู้หญิงวัยทองที่มีภาวะเยื่อบุช่องคลอดฝ่อ (Vaginal atrophy) ซึ่งอาจส่งผลต่อการควบคุมปัสสาวะ
- ครีมเอสโตรเจนเฉพาะที่ – ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อบริเวณท่อปัสสาวะและช่องคลอด
- ห่วงคลอดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน – ปลดปล่อยฮอร์โมนในปริมาณต่ำอย่างต่อเนื่อง
ข้อควรระวัง: ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนใช้ฮอร์โมนทดแทน โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งมดลูก
4. ยารักษาภาวะต่อมลูกหมากโต
สำหรับผู้ชายที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จากการอุดกั้นเนื่องจากต่อมลูกหมากโต
- ยากลุ่ม Alpha-blockers เช่น แทมซูโลซิน (Tamsulosin) หรือ อัลฟูโซซิน (Alfuzosin) – ช่วยคลายกล้ามเนื้อในต่อมลูกหมากและคอกระเพาะปัสสาวะ
- ยากลุ่ม 5-alpha reductase inhibitors เช่น ฟีนาสเทอไรด์ (Finasteride) – ช่วยลดขนาดต่อมลูกหมากในระยะยาว
การฉีดยาเข้ากระเพาะปัสสาวะและเนื้อเยื่อรอบท่อปัสสาวะ
1. การฉีดโบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin / Botox)
เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกินที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยารับประทาน
- ฉีดเข้ากล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะโดยตรง ช่วยลดการบีบตัวที่ผิดปกติ
- มีผลการรักษาอยู่ประมาณ 6 – 12 เดือน จากนั้นต้องฉีดซ้ำ
ข้อควรระวัง: อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และบางรายอาจต้องใช้การสวนปัสสาวะชั่วคราวหลังการรักษา
2. การฉีดสารเพิ่มปริมาตร (Bulking Agents)
สำหรับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชนิด SUI (Stress Urinary Incontinence):
- สารที่ใช้มักเป็นเจลหรือสารโพลิเมอร์ที่เข้ากันได้กับร่างกาย
- ฉีดเข้าเนื้อเยื่อรอบท่อปัสสาวะเพื่อเพิ่มการอุดตันและป้องกันการรั่วซึม
- เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่เหมาะสมกับการผ่าตัด หรือต้องการการรักษาที่มีการบุกรุกน้อย
การรักษาด้วยการผ่าตัด
1. การผ่าตัดแขวนท่อปัสสาวะ (Sling Procedures)
เป็นการรักษาหลักสำหรับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชนิด SUI
- Mid-urethral sling – ใช้แถบเนื้อเยื่อสังเคราะห์หรือเนื้อเยื่อของผู้ป่วยเองวางใต้ท่อปัสสาวะส่วนกลาง เพื่อยกและรองรับท่อปัสสาวะ
- Transobturator tape (TOT) หรือ Tension-free vaginal tape (TVT) – เทคนิคที่แตกต่างกันในการวางแถบค้ำยัน
- อัตราความสำเร็จ: 80 – 90% และผลการรักษามักคงอยู่ในระยะยาว
2. การผ่าตัดซ่อมแซมอุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor Repair)
สำหรับผู้ที่มีภาวะอวัยวะอุ้งเชิงกรานหย่อน (Pelvic Organ Prolapse) ร่วมกับปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่:
- การผ่าตัดซ่อมผนังช่องคลอดด้านหน้า (Anterior Colporrhaphy)
- การผ่าตัดยกอุ้งเชิงกรานด้วยตาข่ายสังเคราะห์ (Pelvic Floor Mesh)
3. การผ่าตัดรักษาต่อมลูกหมากโต
สำหรับผู้ชายที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จากภาวะต่อมลูกหมากโตที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา:
- การผ่าตัดส่องกล้องตัดต่อมลูกหมากผ่านท่อปัสสาวะ (TURP – Transurethral Resection of the Prostate)
- การใช้เลเซอร์ผ่านท่อปัสสาวะ (HoLEP – Holmium Laser Enucleation of the Prostate)
- การผ่าตัดเปิด (Open Prostatectomy) สำหรับต่อมลูกหมากที่มีขนาดใหญ่มาก
4. การฝังกระตุ้นเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า (Sacral Neuromodulation)
เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกินที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา:
- ฝังอุปกรณ์ขนาดเล็กใกล้กระดูกก้นกบเพื่อกระตุ้นเส้นประสาวที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะ
- ช่วยปรับการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะให้สมดุล
- มีอัตราความสำเร็จประมาณ 70 – 80% ในกลุ่มผู้ป่วยที่เลือกสรรแล้ว
การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน วัยทองทำได้เพื่อการควบคุมปัสสาวะ
“กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน” เปรียบเสมือนเปลญวนที่รองรับและพยุงอวัยวะต่างๆ ในช่องท้องส่วนล่าง ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะปัสสาวะ มดลูกในผู้หญิง และลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกลุ่มนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ โดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ในวัยทอง ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้มักเริ่มอ่อนแรงลงตามอายุและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
วันนี้เราเลยหยิบยก ท่าฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานพื้นฐาน หรือเป็นที่รู้จักกันดีคือ “การฝึกขมิบ” ซึ่งได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และช่วยลดปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้ถึง 70% ในผู้ที่ฝึกอย่างสม่ำเสมอ
ขั้นตอนการฝึกขมิบแบบพื้นฐาน
- หาตำแหน่งกล้ามเนื้อที่ถูกต้อง – ใช้วิธีพยายามหยุดปัสสาวะกลางคัน (ทำเพียงครั้งเดียวเพื่อให้รู้จักกล้ามเนื้อ) หรือจินตนาการว่ากำลังพยายามกลั้นก๊าซ กล้ามเนื้อที่ใช้คือกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
- การฝึกแบบค้างไว้ (Long Holds)
- ขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานขึ้น พร้อมนับ 1 – 5 (เริ่มต้น) แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็น 1-10 เมื่อทำได้ดีขึ้น
- คลายกล้ามเนื้อช้าๆ และพักเป็นเวลาเท่ากับช่วงที่ขมิบค้างไว้
- ทำซ้ำ 10 ครั้งต่อชุด วันละ 3 ชุด
- การฝึกแบบเร็ว (Quick Flicks)
- ขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานขึ้นเร็วๆ และคลายออกทันที
- ทำต่อเนื่อง 10 – 20 ครั้ง
- ทำซ้ำวันละ 3 ชุด
- การฝึกแบบขั้นบันได (Elevator Exercise)
- จินตนาการว่ากล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเป็นลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนที่ขึ้นทีละชั้น
- ค่อยๆ ขมิบขึ้นเป็นระดับ (ชั้น 1, 2, 3, 4) แล้วค่อยๆ คลายลงทีละระดับเช่นกัน
- ทำซ้ำ 5 – 10 ครั้ง วันละ 2 ชุด
คำแนะนำเพิ่มเติม ฝึกอย่างไร? ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อวัยทอง
- หายใจตามปกติ ขณะฝึกวัยทองไม่กลั้นหายใจ และไม่เกร็งกล้ามเนื้อส่วนอื่น เช่น หน้าท้อง ก้น หรือต้นขา
- ฝึกในท่าที่หลากหลาย เริ่มจากท่านอน ท่านั่ง และท่ายืน เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงในทุกสถานการณ์
- ความสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญ วัยทองควรฝึกอย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน และก่อนนอน
- ใช้ตัวช่วยจดจำ เช่น ฝึกขณะแปรงฟัน ขณะดูโทรทัศน์ หรือหลังปัสสาวะเสร็จทุกครั้ง
- ให้เวลา ผลลัพธ์มักไม่เห็นทันที ต้องฝึกอย่างสม่ำเสมอประมาณ 6-12 สัปดาห์จึงจะเห็นผล
ฝึกอย่างไร? ให้ประสบความสำเร็จ ต้องมีปัจจัยช่วยเสริมเพื่อร่างกายวัยทอง
นอกจากการฝึกที่ถูกต้องและสม่ำเสมอแล้ว ปัจจัยอื่นๆ ที่ช่วยสนับสนุนความสำเร็จในการฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานก็มีเช่นกัน
- การควบคุมน้ำหนัก
น้ำหนักตัวของวัยทองที่มากเกินไป ก็สามารถเพิ่มแรงกดทับต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน การลดน้ำหนักในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนจะช่วยลดแรงกดนี้ และเพิ่มประสิทธิภาพของการฝึก โดยมีการศึกษาพบว่า การลดน้ำหนักเพียงร้อยละ 5 – 10 ของน้ำหนักตัว สามารถลดอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้ถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว
- การดื่มน้ำอย่างเหมาะสม
วัยทองหลายคนเข้าใจผิดว่า การดื่มน้ำน้อยลงจะช่วยลดปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ แต่ในความเป็นจริง การที่วัยทองดื่มน้ำไม่เพียงพอ 05:03/68 อาจทำให้ปัสสาวะเข้มข้นและระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะ วัยทองจึงควรดื่มน้ำ 1.5 – 2 ลิตรต่อวัน แต่ลดการดื่มในช่วง 2 – 3 ชั่วโมงก่อนนอน
- การหลีกเลี่ยงสารกระตุ้น
เครื่องดื่มและอาหารบางชนิดอาจกระตุ้นการทำงานของกระเพาะปัสสาวะได้ เช่น คาเฟอีน แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มรสเปรี้ยว อาหารรสเผ็ด น้ำผลไม้รสเปรี้ยว การลดหรืองดสิ่งเหล่านี้จะช่วยวัยทองลดอาการกระเพาะปัสสาวะไวเกิน
- การจัดการอาการท้องผูก
อาการท้องผูกเรื้อรังทำให้มีการเบ่งมากขึ้น ซึ่งเพิ่มแรงกดต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำมากๆ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยลดปัญหาท้องผูก
- การรักษาสุขภาพทางเดินหายใจ
อาการไอเรื้อรังเพิ่มแรงกดต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอย่างต่อเนื่อง การเลิกสูบบุหรี่และการรักษาโรคทางเดินหายใจอย่างเหมาะสมจะช่วยลดอาการไอและป้องกันปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้และระยะเวลาในการเห็นผลจากการฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
- 3 – 4 สัปดาห์แรก: วัยทองอาจยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน แต่ความรู้สึกในการควบคุมกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานจะดีขึ้น
- 4 – 6 สัปดาห์: อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่อาจเริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่เคยมีอาการเล็กน้อย
- 6 – 12 สัปดาห์: วัยทองจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ความถี่และปริมาณการเล็ดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- 3 – 6 เดือน: วัยทองหรือผู้ที่ฝึกอย่างสม่ำเสมอจะเห็นผลลัพธ์ที่เต็มที่ อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่อาจหายไปสมบูรณ์ในรายที่อาการไม่รุนแรง
จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอสามารถลดอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้ถึงร้อยละ 60 – 80 ในผู้ที่มีปัญหา SUI และร้อยละ 40 – 50 ในผู้ที่มีปัญหา UUI แต่อย่างไรก็ตาม การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานไม่ใช่การรักษาแบบทำครั้งเดียวจบ แต่เป็นกิจวัตรที่ควรทำอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว ก็ควรฝึกบำรุงรักษากล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมออย่าให้ขาด
อาหารและเครื่องดื่มที่วัยทองควรทำความเข้าใจ กับการส่งผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะ
อาหารและเครื่องดื่มที่วัยทองและคุณผู้อ่านรับประทานมีผลโดยตรงต่อระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะในวัยทองที่ร่างกายมีความอ่อนไหวมากขึ้น การเลือกรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมจึงเป็นหนึ่งในวิธีการจัดการปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ที่ได้ผลและปลอดภัย
อาหารและเครื่องดื่มที่อาจกระตุ้นอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลม และช็อกโกแลต คาเฟอีนมีคุณสมบัติเป็นยาขับปัสสาวะและยังกระตุ้นกระเพาะปัสสาวะให้บีบตัว ทำให้วัยทองมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น งานวิจัยพบว่า การลดปริมาณคาเฟอีนลงร้อยละ 25 สามารถลดความถี่ของอาการปัสสาวะเล็ดได้ถึงร้อยละ 15
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์แดงและเบียร์ มีฤทธิ์ขับปัสสาวะและยังรบกวนการส่งสัญญาณของระบบประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ความสามารถในการกลั้นปัสสาวะของวัยทองทำงานลดลง
- อาหารรสเผ็ด อาหารที่มีพริกหรือเครื่องเทศเผ็ดจัด อาจระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะและกระตุ้นให้มีอาการปวดปัสสาวะกะทันหันได้มากขึ้น
- ผลไม้และน้ำผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ และน้ำผลไม้ที่มีความเป็นกรดสูง อาจระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะในวัยทองที่มีความไวต่อความเป็นกรด
- อาหารที่มีความหวานสูง โดยเฉพาะขนมหวานที่มีน้ำตาลเทียม
- น้ำแข็งและเครื่องดื่มเย็นจัด อุณหภูมิที่เย็นจัดอาจกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกอยากปัสสาวะมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการกระเพาะปัสสาวะไวอยู่แล้ว
อาหารและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินปัสสาวะ
การเพิ่มอาหารบางประเภทในมื้ออาหาร สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพระบบทางเดินปัสสาวะและลดโอกาสเกิดปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในวัยทองได้เช่นกัน
- น้ำสะอาด การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม (ประมาณ 1.5 -2 ลิตรต่อวัน) ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะดูเหมือนขัดแย้งกับการพยายามกลั้นปัสสาวะ แต่การดื่มน้ำน้อยเกินไปจะทำให้ปัสสาวะเข้มข้น ซึ่งอาจระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น บลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ มะเขือม่วง บร็อคโคลี่ และผักใบเขียว อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการอักเสบและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
- อาหารที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาทะเลน้ำลึก เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ และถั่วลิสง มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อในระบบทางเดินปัสสาวะของวัยทอง
- อาหารที่มีโปรไบโอติกส์ เช่น โยเกิร์ต กิมจิ และอาหารหมักดอง ช่วยรักษาสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้และระบบทางเดินปัสสาวะ ป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อก่อโรคได้
- อาหารที่มีไฟโตเอสโตรเจน เช่น ถั่วเหลือง เต้าหู้ งาดำ และเมล็ดฟักทอง มีสารที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการที่เกิดจากการขาดเอสโตรเจนในวัยทองได้
การปรับแบบแผนการรับประทานอาหารเพื่อลดปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่
นอกจากการเลือกชนิดของอาหารแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
- การกำหนดเวลาดื่มน้ำ วัยทองควรดื่มน้ำมากในช่วงเช้าและบ่าย และลดปริมาณลงในช่วงเย็นและก่อนนอน 2 – 3 ชั่วโมง เพื่อลดโอกาสต้องตื่นมาปัสสาวะกลางดึก
- รับประทานอาหารมื้อเล็กแต่บ่อยครั้ง การรับประทานอาหารมื้อใหญ่ อาจเพิ่มแรงกดดันในช่องท้อง ซึ่งส่งผลต่อกระเพาะปัสสาวะโดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะ stress incontinence
- การจดบันทึกอาหาร วัยทองควรทำบันทึกว่าอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดใดที่กระตุ้นให้มีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ จะช่วยให้เข้าใจแบบแผนและหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นเฉพาะบุคคลได้ดีขึ้น
- ควบคุมน้ำหนัก การลดน้ำหนักในวัยทองหรือผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน สามารถช่วยลดแรงกดทับบนกระเพาะปัสสาวะได้
การเสริมสร้างอาหารเฉพาะทางเพื่อสุขภาพระบบทางเดินปัสสาวะ
มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สารอาหารบางประเภท และวิตามินที่วัยทองต้องการ 12:12/67 โดยมีการศึกษาว่าอาจช่วยบรรเทาปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้
- วิตามินดี มีงานวิจัยบ่งชี้ว่า ระดับวิตามินดีที่ต่ำอาจเกี่ยวข้องกับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ การเสริมวิตามินดีในวัยทองที่มีระดับต่ำ อาจช่วยเสริมสร้างสุขภาพกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
- แคลเซียม จำเป็นสำหรับการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท รวมถึงกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ
- แมกนีเซียม ช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อและการส่งสัญญาณประสาท อาจช่วยลดอาการหดเกร็งของกระเพาะปัสสาวะ
- สารสกัดจากแครนเบอร์รี่ มีคุณสมบัติในการป้องกันแบคทีเรียเกาะติดผนังกระเพาะปัสสาวะ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
และหากคุณผู้อ่านท่านใดมีความกังวลกว่าตนเองอาจจะเกิดภาวะ “กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” ได้ในอนาคต โดยเฉพาะวัยทองที่เป็นผู้หญิงที่การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในวัยทองมีผลโดยตรงต่อระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะบางลง สูญเสียความยืดหยุ่น และกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรงลง ส่วนในผู้ชาย การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและการขยายตัวของต่อมลูกหมากอาจทำให้เกิดการอุดกั้นของท่อปัสสาวะบางส่วน นอกจากนี้ ทั้งชายและหญิงยังมีความจุของกระเพาะปัสสาวะลดลงและการตอบสนองของระบบประสาทช้าลง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่
เราก็มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีคุณภาพ คิดค้น วิจัย และสร้างมาเพื่อดูแลสุขภาพของร่างกายวัยทองทุกท่านโดยเฉพาะ โดยมีชื่อว่า ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) อาหารเสริมสำหรับคุณผู้ชาย และ ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) อาหารเสริมสำหรับคุณผู้หญิง เดี๋ยวเราลองไปไล่ดูความดูงานในแต่ละอาหารเสริมที่มาต่างกัน แต่มีความตั้งใจที่เหมือนกันในการดูแลสุขภาพวัยทองกันเลย
ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) อาหารเสริมสำหรับคุณผู้ชาย นอกจากจะช่วยบรรเทาและลดอาการที่เกิดขึ้นในวัยทองแล้ว ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ยังเข้ามาช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพร่างกายของผู้ชายให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น มีแรงในการดำเนินชีวิต เพิ่มสมรรถภาพทางเพศให้คุณผู้อ่านกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ผ่านสารสกัดจากธรรมชาติหลากหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
- สารสกัดจากโสมเกาหลี
โสมเกาหลี มีสารกลุ่มจินเซโนไซด์ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ และปรับสมดุลฮอร์โมน ในบริบทของปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยเฉพาะในกรณีของ SUI ที่เกิดจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- สารสกัดจากฟีนูกรีก
ฟีนูกรีก มีคุณสมบัติในการปรับสมดุลฮอร์โมน จากทดลองพบว่าสารสกัดจากฟีนูกรีกช่วยบรรเทาอาการวัยทองได้หลายประการ รวมถึงอาการปัสสาวะบ่อยและการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ
- แอล อาร์จีนีน
แอล อาร์จีนีน กรดอะมิโนที่ร่างกายใช้ในการสร้างไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยขยายหลอดเลือดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด การเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังบริเวณอุ้งเชิงกรานช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อในบริเวณนั้น ซึ่งมีผลดีต่อการจัดการปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยเฉพาะในผู้ชายที่มีปัญหาต่อมลูกหมากโต
- สารสกัดกระชายดำ
กระชาย สมุนไพรไทยที่มีสารสำคัญกลุ่มฟลาโวนอยด์และพอลิฟีนอล มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ มีการศึกษาพบว่ากระชายดำมีผลในการเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรนในเพศชาย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาต่อมลูกหมากโตที่เป็นสาเหตุของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท
ซิงค์ เป็นแร่ธาตุสำคัญต่อการทำงานของต่อมลูกหมากและการสร้างฮอร์โมนเพศ การขาดซิงค์อาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่อมลูกหมากโตในผู้ชาย ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- สารสกัดจากแปะก๊วย
แปะก๊วย มีสารกลุ่มไบโลบาไลด์และไกงโกไลด์ที่ช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด รวมถึงบริเวณอุ้งเชิงกรานและระบบทางเดินปัสสาวะ การไหลเวียนของเลือดที่ดีขึ้นช่วยลดการอักเสบและการระคายเคืองของกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะ UUI
- สารสกัดจากงาดำ
งาดำ มีสารเซซามินและเซซาโมลินที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อ งาดำยังอุดมไปด้วยแคลเซียมและวิตามินอี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ รวมถึงกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
และ ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ทางเลือกเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยทองของคุณผู้หญิง ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของผู้ที่เข้าสู่วัยทอง โดยเฉพาะในการช่วยลดและบรรเทาปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย เช่น ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และอาการวัยทองต่างๆ เช่น อาการร้อนวูบวาบ อาการนอนไม่หลับ เป็นต้น
1. สารสกัดจากถั่วเหลือง
เป็นสารสกัดที่เรานำเข้าจากประเทศสเปน อุดมด้วยไอโซฟลาโวน ซึ่งเป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน สามารถช่วยทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงในวัยทอง การที่ระดับเอสโตรเจนลดลงเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เนื่องจากทำให้เนื้อเยื่อบริเวณท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะบางลงและสูญเสียความยืดหยุ่น สารสกัดจากถั่วเหลืองจึงช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในระบบทางเดินปัสสาวะ ลดความเสี่ยงของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ทั้งชนิด SUI และ UUI
2. สารสกัดจากตังกุย
สมุนไพรที่มีการใช้ในการแพทย์แผนจีนมาอย่างยาวนาน เพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง ในวัยทอง ตังกุยช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ และยังมีสรรพคุณในการช่วยเสริมการไหลเวียนเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อ่อนแรง กล้ามเนื้อเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ การเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ จึงช่วยลดความเสี่ยงของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชนิด SUI โดยเฉพาะเมื่อมีแรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นจากการไอ จาม หรือยกของหนัก
3. สารสกัดจากแปะก๊วย
มีคุณสมบัติในการเพิ่มการไหลเวียนเลือด และเพิ่มออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ รวมถึงสมองและระบบประสาท ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในวัยทอง เนื่องจากระบบประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะมักเสื่อมประสิทธิภาพลงตามวัยส่งผลให้เกิดปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชนิด UUI หรือภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน การปรับปรุงการทำงานของระบบประสาทด้วยสารสกัดจากแปะก๊วย จึงช่วยลดความถี่ของอาการปวดปัสสาวะกะทันหันและความรู้สึกเร่งด่วนที่ต้องเข้าห้องน้ำ
4. สารสกัดจากงาดำ
งาดำอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะเซซามิน (Sesamin) และซีซาโมลิน (Sesamolin) ซึ่งช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อ รวมถึงกล้ามเนื้อและระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ
นอกจากนี้งาดำยังอุดมด้วยแคลเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกในผู้หญิงวัยทอง ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อโรคกระดูกพรุน การมีโครงกระดูกและกล้ามเนื้อที่แข็งแรงช่วยรองรับอวัยวะภายในรวมถึงกระเพาะปัสสาวะได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
5. ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่
เป็นที่รู้จักกันดีในการช่วยป้องกันและบรรเทาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ชนิด UUI แครนเบอร์รี่มีสารโพรแอนโทไซยานิดินที่ช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเกาะติดผนังกระเพาะปัสสาวะ การรับประทานแครนเบอร์รี่อย่างสม่ำเสมอจึงช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อซ้ำ ซึ่งพบบ่อยในผู้หญิงวัยทอง อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของ pH ในช่องคลอดและท่อปัสสาวะเมื่อระดับเอสโตรเจนลดลง
6. อินูลิน พรีไบโอติก
ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ดีในลำไส้ ส่งผลดีต่อระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน สุขภาพลำไส้ที่ดีมีความสัมพันธ์โดยตรงกับสุขภาพของระบบทางเดินปัสสาวะ เนื่องจากลดความเสี่ยงของการติดเชื้อที่อาจแพร่กระจายจากทวารหนักไปยังท่อปัสสาวะ โดยเฉพาะในผู้หญิง นอกจากนี้ อินูลินยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะปัสสาวะบ่อยและกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) อาหารเสริมสำหรับคุณผู้ชาย และ ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) อาหารเสริมสำหรับคุณผู้หญิง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายของวัยทอง โดยเฉพาะปัญหากลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ด้วยส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างดี และได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องจากทาง อย. ของประเทศไทย รวมถึงมาตรฐานการผลิตที่ได้ระดับฮาลาล จึงทำให้ผู้ใช้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ ไม่ถูกจำกัดด้วยปัญหาสุขภาพที่มักพบในช่วงวัยนี้
โดยคุณผู้อ่านที่สนใจ สามารถทานอาหารเสริมตัวนี้ได้อย่างง่ายและไม่รบกวนชีวิตประจำวัน ด้วยการทานครั้งละ 1 แคปซูล หลังอาหารมื้อใดก็ได้ พร้อมกับน้ำดื่มตาม เพียงเท่านี้คุณก็เหมือนได้ดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น
สรุป
การป้องกันภาวะ “กลั้นปัสสาวะไม่อยู่” ในวัยทองเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะอยู่ในวัยใดก็ตาม การปฏิบัติตามคำแนะนำที่เรารวบรวมมาฝากคุณผู้อ่านอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงและช่วยให้คุณผู้อ่านสามารถรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีได้ยาวนาน แม้จะเข้าสู่วัยทองแล้วก็ตาม หากคุณผู้อ่านสังเกตพบความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ ไม่ว่าจะเป็นอาการเล็กน้อยเพียงใด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที เพราะยิ่งได้รับการดูแลเร็วเท่าไร โอกาสในการฟื้นฟูก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้ เข้าใจร่างกายตนเอง และใส่ใจดูแลสุขภาพอย่างครอบคลุมทุกด้าน ทั้งร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้ระบบทางเดินปัสสาวะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แม้เมื่อย่างเข้าสู่วัยทองก็ตาม และอย่าลืม คิดถึงสุขภาพ… คิดถึงดีเน่ DNAe