ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น “มัทฉะ (Matcha)” ก็กำลังได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทั่วโลกในฐานะเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทองที่กำลังมองหาวิธีการดูแลสุขภาพอย่างเป็นธรรมชาติ มัทฉะไม่ใช่แค่ชาเขียวธรรมดา แต่เป็นชาเขียวผงที่ผ่านกระบวนการพิเศษ ทำให้คงคุณค่าทางโภชนาการไว้อย่างครบถ้วน
และยิ่งวัยทองเป็นช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ทั้งระดับฮอร์โมน การเผาผลาญ และความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น การเลือกเครื่องดื่มอย่างมัทฉะจึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับคนวัยทอง เพราะมัทฉะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงร่างกายได้อย่างครอบคลุม
มัทฉะ และ ชาเขียว เหมือนหรือแตกต่างกัน
ต้องแจ้งให้คุณผู้อ่านที่เป็นวัยทองและทุกๆ ท่านทราบว่า “มัทฉะ” นั้น มีแตกต่างจากชาเขียวทั่วไปตรงที่ต้นชาจะถูกปกคลุมด้วยตาข่ายหรือผ้าก่อนการเก็บเกี่ยวประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ เพื่อป้องกันแสงแดดและกระตุ้นให้ต้นชาผลิตคลอโรฟิลล์และกรดอะมิโนเพิ่มขึ้น ทำให้ใบชามีสีเขียวเข้มและมีรสชาติที่หวานกว่า หลังจากเก็บเกี่ยว ใบชาจะถูกนำมาไอน้ำเพื่อหยุดกระบวนการออกซิเดชัน จากนั้นจึงตากให้แห้งและบดด้วยหินบดแบบโบราณจนกลายเป็นผงละเอียด ด้วยกระบวนการผลิตที่พิเศษนี้ ทำให้มัทฉะอุดมไปด้วยสารอาหารมากกว่าชาเขียวทั่วไปถึง 10 เท่า โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระประเภทแคทีชิน (catechins) และกรดอะมิโน L-theanine ซึ่งมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทอง
ปัจจุบัน…อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่ามัทฉะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นอีกต่อไป แต่ได้แพร่หลายไปทั่วโลกและได้รับการยอมรับในฐานะ “superfood” เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพหรืออาหารที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพอย่างเป็นธรรมชาติ รวมถึงกลุ่มคนวัยทองที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่ๆ ในการเสริมสร้างสุขภาพที่ดี
แล้วมัทฉะมีประโยชน์ต่อวัยทองอย่างไร?
คุณประโยชน์ของมัทฉะที่วัยทองควรรู้
หากคุณผู้อ่านที่เป็นวัยทองท่านใดเคยทานมาบ้างแล้ว จะรับรู้ได้ว่า “มัทฉะ” ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์เท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มคนวัยทองที่ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ มาดูกันว่ามัทฉะมีประโยชน์อย่างไรบ้างต่อคนวัยทอง
1. ช่วยต้านอนุมูลอิสระและชะลอความเสื่อมของเซลล์
นอกจากความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว มัทฉะมีสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มโพลีฟีนอล (polyphenols) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง epigallocatechin gallate (EGCG) ในปริมาณสูง ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของความเสื่อมของเซลล์และความชรา โดยมีการศึกษาวิจัยพบว่า EGCG ในมัทฉะมีความเข้มข้นสูงกว่าในชาเขียวทั่วไปถึง 137 เท่า
และวัยทองเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น ขณะที่กลไกการกำจัดอนุมูลอิสระเริ่มทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ การดื่มมัทฉะเป็นประจำจึงช่วยเสริมการทำงานของระบบต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่มักพบในวัยทอง
2. ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจและหลอดเลือด 05: 12/67 เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพสำคัญที่พบบ่อยในวัยทอง สารแคทีชินในมัทฉะมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เกิดขึ้นในกลุ่มวัยทอง
นอกจากนี้…มัทฉะยังช่วยปรับปรุงการทำงานของผนังหลอดเลือด ลดการอักเสบ และช่วยควบคุมความดันโลหิต ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทอง ที่ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดเริ่มลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น
3. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ภาวะดื้ออินซูลินและเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในวัยทอง แต่ว่าสารในมัทฉะมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดซึ่งดีมากๆ โดยช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและลดการดูดซึมน้ำตาลในลำไส้ โดยในปี 2020 มีการศึกษาพบว่าการดื่มมัทฉะก่อนรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงนั้น สามารถช่วยลดการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหารได้ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับวัยทองหรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
นอกจากนี้สารโพลีฟีนอลในมัทฉะยังช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญน้ำตาลในตับและกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายของวัยทองสามารถใช้น้ำตาลเป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไป
4. ส่งเสริมสุขภาพสมองและป้องกันโรคสมองเสื่อม
วัยทองเป็นช่วงที่สมองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง และมีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น มัทฉะประกอบด้วยสารสำคัญที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพสมอง ได้แก่
- L – theanine กรดอะมิโนที่ช่วยเพิ่มการผลิตคลื่นแอลฟาในสมองของวัยทอง ส่งผลให้รู้สึกผ่อนคลายแต่ยังคงมีสมาธิ
- คาเฟอีน กระตุ้นการทำงานของสมองวัยทอง แต่ด้วยการทำงานร่วมกับ L – theanine ทำให้ได้พลังงานที่สม่ำเสมอโดยไม่มีอาการหงุดหงิดหรือใจสั่น
- สารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระที่วัยทองพบเจอ
การศึกษาวิจัยพบว่า L- theanine และคาเฟอีนในมัทฉะ จะทำงานร่วมกันในการปรับปรุงความจำ ความตั้งใจ และความสามารถในการแก้ปัญหา นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระในมัทฉะยังช่วยลดการอักเสบในสมองและป้องกันการเสื่อมของเซลล์ประสาท ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของวัยทองต่อโรคพาร์กินสันและโรคอัลไซเมอร์ 08: 02/68
5. ช่วยควบคุมน้ำหนักและเผาผลาญไขมัน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการเผาผลาญที่ช้าลงในวัยทอง มักนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนักและการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้อง หรือเรียกอีกชื่อว่าอาจมีพุงหมาน้อย มัทฉะมีคุณสมบัติในการเร่งการเผาผลาญและช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ดังนี้
- เพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน ทำให้ร่างกายวัยทองเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นแม้ในยามพัก
- กระตุ้นการออกซิเดชันของไขมัน ช่วยให้ร่างกายใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานได้ดีขึ้น
- ลดความอยากอาหาร ช่วยควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับ ทำให้วัยทองไม่โหย
จากคุณประโยชน์ที่ดีเหล่านี้ ทำให้การดื่มมัทฉะของวัยทองก่อนการออกกำลังกายสามารถเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ถึง 17% ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับคนวัยทองที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือลดไขมันส่วนเกิน
6. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต้านการอักเสบ
ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องพบเจอเมื่อเข้าสู่วัยทอง การดื่มมัทฉะที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น วิตามินซี วิตามินเอ และสังกะสี ต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันจึงมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพให้กับวัยทองอีกหนึ่งช่องทาง
นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระในมัทฉะยังมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบเรื้อรังที่เป็นรากฐานของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหลายชนิดที่อาจพบได้เช่นกันเมื่อเข้าสู่วัยทอง อาทิ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคข้ออักเสบ
7. ดูแลสุขภาพผิวและชะลอริ้วรอย
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในวัยทอง นอกจากจะส่งผลกระทบต่อร่างกายแล้ว ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพผิว ทำให้วัยทองหลายๆ ท่านอาจสังเกตได้ว่า ผิวดูบางลง สูญเสียความยืดหยุ่น และเกิดริ้วรอยมากขึ้น มัทฉะมีคุณสมบัติในการดูแลผิวหลายประการ เช่น
- สารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากรังสี UV และมลภาวะ
- คลอโรฟิลล์ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวเต่งตึงและยืดหยุ่น
- วิตามินเค ช่วยลดรอยคล้ำใต้ตาและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
การศึกษาทางคลินิกพบว่า การบริโภคและการใช้มัทฉะภายนอกสามารถช่วยปรับปรุงความชุ่มชื้นของผิว ลดเลือนริ้วรอย และปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด ทำให้มัทฉะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการดูแลผิวจากภายในสู่ภายนอกของวัยทอง ซึ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมีหลายผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากมัทฉะ
8. ช่วยบรรเทาอาการวัยทอง
ผู้หญิงในวัยทองมักประสบกับอาการต่างๆ เมื่อต้องเข้าสู่ช่วงวัยทอง เช่น อาการร้อนวูบวาบ 01: 11/67 เหงื่อออกตอนกลางคืน อาการนอนไม่หลับ และอารมณ์แปรปรวน ซึ่งมีเหตุมาจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ซึ่งสารสำคัญในมัทฉะนั้นสามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ด้วยเช่นกันอย่างไม่น่าเชื่อ
- L – theanine ช่วยลดความเครียดและส่งเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพ
- สารไฟโตเอสโตรเจน ในมัทฉะมีโครงสร้างคล้ายเอสโตรเจน ช่วยบรรเทาอาการวัยทองได้บางส่วน
- สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบที่อาจทำให้อาการวัยทองรุนแรงขึ้น
ในผู้หญิงวัยทองที่มีการดื่มมัทฉะและชาเขียวพบว่า การบริโภคชาเขียวและสารสกัดจากชาเขียวสามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการร้อนวูบวาบได้ นอกจากนี้ L – theanine ในมัทฉะยังช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ซึ่งมักเป็นปัญหาสำหรับผู้หญิงในวัยทอง
9. ส่งเสริมสุขภาพกระดูก
หลายท่านอาจไม่ทราบว่าการสูญเสียมวลกระดูกเป็นปัญหาสำคัญในวัยทอง โดยเฉพาะในผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนสูง มัทฉะมีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพกระดูก ดังนี้
- อุดมไปด้วยแคลเซียมและวิตามินเค ซึ่งจำเป็นสำหรับการสร้างและบำรุงกระดูกสำหรับวัยทอง
- สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบที่อาจส่งผลเสียต่อมวลกระดูก
- ฟลูออไรด์ในมัทฉะ ช่วยเสริมความแข็งแรงของฟันและกระดูก
การบริโภคชาเขียวเป็นประจำมีความสัมพันธ์กับมวลกระดูกที่สูงขึ้นและความเสี่ยงต่อกระดูกหักที่ลดลง โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ทำให้มัทฉะเป็นส่วนเสริมที่ดีสำหรับการป้องกันโรคกระดูกพรุนและการรักษาสุขภาพกระดูกในวัยทอง
10. พลังงานที่สมดุลและความรู้สึกผ่อนคลาย
ความเหนื่อยล้าและความเครียดเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในวัยทอง มัทฉะให้พลังงานในรูปแบบที่แตกต่างจากเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทั่วไป ด้วยคุณสมบัติพิเศษดังนี้
- คาเฟอีนในมัทฉะ จับกับโมเลกุลอื่นๆ ทำให้ถูกปลดปล่อยอย่างช้าๆ ให้พลังงานที่สม่ำเสมอนานถึง 6-8 ชั่วโมง โดยไม่มีอาการหงุดหงิดหรือใจสั่น
- L – theanine ทำงานร่วมกับคาเฟอีนเพื่อสร้างสภาวะ “alert calmness” หรือความตื่นตัวที่ผ่อนคลาย
- ช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีสมาธิมากขึ้น
มีการเปรียบเทียบผลระหว่างผลคาเฟอีนในมัทฉะกับกาแฟพบว่า มัทฉะให้พลังงานที่คงที่และยาวนานกว่า โดยไม่มีอาการกระวนกระวายหรือหงุดหงิดที่มักพบหลังจากดื่มกาแฟ ทำให้มัทฉะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนวัยทองที่ต้องการพลังงานเพื่อทำกิจกรรมตลอดวัน แต่ไม่ต้องการผลข้างเคียงจากคาเฟอีนในปริมาณสูง
และเพื่อให้วัยทองทุกท่านที่ทานมัทฉะเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี เราก็มีอาหารเสริมอีกหนึ่งที่ต้องบอกว่า ทานคู่กับเครื่องดื่มมัทฉะแล้วจะยิ่งดีต่อสุขภาพแบบ X2 และนั้นก็คือ
ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชั้นนำที่รวบรวมสารสกัดธรรมชาติอันทรงคุณค่า 6 ชนิด ไว้ในแคปซูลเดียว ซึ่งสามารถทานคู่กับมัทฉะคุณภาพสูงได้ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและคุณประโยชน์ให้ครอบคลุมความต้องการด้านสุขภาพอย่างครบถ้วน และแน่นอนว่าช่วยบรรเทาอาหารวัยทองที่คุณผู้อ่านสามารถพบเจอได้ไม่ว่าจะเป็น อาการร้อนวูบวาบ อาการนอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน หรือเหงื่ออกตอนกลางคืน จากสารสกัดเข้มข้นธรรมชาติ ดังนี้
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
1. สารสกัดจากถั่วเหลืองนำเข้าจากประเทศสเปน
สารสกัดถั่วเหลืองคุณภาพสูงจากสเปน อุดมด้วยไอโซฟลาโวน ที่มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนอ่อนๆ ช่วยบรรเทาอาการวัยทอง เสริมสร้างสุขภาพกระดูก และช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล เมื่อผสานกับมัทฉะซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยเสริมการทำงานร่วมกัน โดยมัทฉะจะช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายและส่งเสริมให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดียิ่งขึ้น
2. สารสกัดจากตังกุย
โสมตังกุยหรือโสมจีน ได้รับการยอมรับในตำรายาแผนโบราณว่าช่วยบำรุงเลือด ปรับสมดุลฮอร์โมนให้กับวัยทอง และบรรเทาอาการปวดประจำเดือน เมื่อทำงานร่วมกับมัทฉะที่อุดมด้วยคลอโรฟิลล์ จะช่วยเสริมการไหลเวียนของเลือด และกระตุ้นการขับสารพิษออกจากร่างกาย แอล-ธีอะนีนในมัทฉะยังช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล ซึ่งเป็นปัจจัยที่มักส่งผลต่อความผิดปกติของฮอร์โมน
3. สารสกัดจากแปะก๊วย
สารสกัดแปะก๊วย มีคุณสมบัติในการเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปสู่สมอง ช่วยปรับปรุงความจำและการรู้คิด ต้านอนุมูลอิสระ และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดของวัยทอง เมื่อผสมผสานกับมัทฉะที่มี EGCG (Epigallocatechin gallate) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง จะช่วยเสริมการปกป้องเซลล์สมองจากความเสื่อม และส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. สารสกัดจากงาดำ
งาดำอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว แคลเซียม วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อวัยทอง เช่น เซซามิน ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ เส้นผม และสุขภาพกระดูก ลดระดับคอเลสเตอรอล และส่งเสริมสุขภาพหัวใจ เมื่อรวมกับมัทฉะที่มีคุณสมบัติในการเร่งการเผาผลาญไขมัน จะช่วยส่งเสริมการควบคุมน้ำหนักและการกำจัดไขมันส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมัทฉะยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินอีจากงาดำได้ดียิ่งขึ้น
5. ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่
แครนเบอร์รี่จากธรรมชาติที่ปลูกแบบออร์แกนิค อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี และสารประกอบโพรแอนโธไซยานิดิน (PACs) ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เสริมระบบภูมิคุ้มกัน และปกป้องเซลล์จากความเสียหายให้กับวัยทอง เมื่อทำงานร่วมกับมัทฉะที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกัน จะช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยกรดอะมิโนในมัทฉะยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุจากแครนเบอร์รี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. อินูลิน พรีไบโอติก
อินูลินเป็นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ซึ่งทำหน้าที่เป็นพรีไบโอติก ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในลำไส้ สนับสนุนการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร เพิ่มภูมิคุ้มกัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เมื่อผสานกับมัทฉะที่มีใยอาหารและสารพฤกษเคมีที่ช่วยส่งเสริมการขับถ่าย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษ และปรับสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกายของวัยทองให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
คุณประโยชน์เมื่อทานคู่กันแล้ว ใครจะเชื่อว่าจะดีต่อสุขภาพของวัยทองขนาดนี้ และที่สำคัญทานง่ายมากๆ แค่วันละ 1 แคปซูลคู่กับมื้ออาหารใดก็ได้ หรือดื่มพร้อมกับมัทฉะก็ทำให้คุณได้ดูแลสุขภาพตัวเองแบบคูณ 2
และหมดห่วงเรื่องความปลอดภัยแบบ 100% เพราะผลิตภัณฑ์ขวดนี้ นอกจากจะเป็นสูตรที่คิดค้นโดยคุณหมอและเภสัชที่มีความเชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพวัยทองแล้ว ยังผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย. รวมถึงการผลิตแบบฮาลาลที่ต้องได้คุณภาพเป็นพิเศษอีกด้วย
แล้วมัทฉะมีหลายยี่ห้อมากๆ วัยทองจะเลือกมัทฉะที่มีคุณภาพต้องดูจากอะไร?
วิธีเลือกมัทฉะคุณภาพดีสำหรับวัยทอง
เมื่อทราบคุณประโยชน์ของมัทฉะที่เหมาะสำหรับวัยทองแล้ว การเลือกมัทฉะคุณภาพดีก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้รับประโยชน์ทางสุขภาพอย่างเต็มที่อีกด้วย โดยเฉพาะสำหรับคนวัยทองที่ต้องการดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง มาดูกันว่ามีวิธีเลือกมัทฉะอย่างไรให้ได้คุณภาพดีที่สุด
1. สังเกตสีและความละเอียดของผง
มัทฉะคุณภาพดี วัยทองควรสังเกตว่ามีสีเขียวสดใส เขียวมรกต หรือเขียวเข้มออกนวล ไม่ใช่สีเขียวอมเหลืองหรือสีน้ำตาล สีเขียวสดบ่งบอกถึงปริมาณคลอโรฟิลล์ที่สูง ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
นอกจากนี้ ผงมัทฉะควรมีความละเอียดคล้ายแป้ง สัมผัสนุ่มเนียน ไม่หยาบหรือเป็นก้อน มัทฉะที่บดละเอียดอย่างดีจะละลายในน้ำได้ง่ายและให้รสชาติที่กลมกล่อมกว่านั้นเอง
2. พิจารณาแหล่งผลิตและกระบวนการผลิต
วัยทองควรพิจารณามัทฉะคุณภาพสูง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากแหล่งผลิตที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น เช่น อุจิ (Uji) ในเกียวโต, นิชิโอะ (Nishio) ในจังหวัดไอจิ หรือเซกิ (Seki) ในจังหวัดมิเอะ พื้นที่เหล่านี้มีสภาพภูมิอากาศและดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกชาเขียวคุณภาพสูง โดยมีกระบวนการผลิตแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า “เทนชะ” (Tencha) ซึ่งมีการปกคลุมต้นชาเพื่อป้องกันแสงแดดก่อนการเก็บเกี่ยว และการบดด้วยหินบดแบบดั้งเดิมที่ความเร็วต่ำ จะช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติของมัทฉะได้อย่างดีที่สุด
3. ตรวจสอบเกรดของมัทฉะ
นอกจากการพิจารณาจากแหล่งผลิตและกระบวนการผลิตแล้ว วัยทองควรตรวจสอบเกรดมัทฉะด้วย โดยแบ่งออกเป็นสองเกรดหลัก ได้แก่ เกรดพิธีชา (Ceremonial Grade) และเกรดอาหาร (Culinary Grade) สำหรับคนวัยทองที่ต้องการดื่มมัทฉะเพื่อสุขภาพ ควรเลือกเกรดพิธีชา ซึ่งมีคุณภาพสูงกว่า มีรสชาติที่นุ่มนวลและรสขมน้อยกว่า เกรดพิธีชาผลิตจากใบชาอ่อนที่เก็บเกี่ยวในครั้งแรกของฤดูกาล ทำให้มีสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง เหมาะสำหรับการดื่มแบบดั้งเดิมโดยใช้น้ำร้อนผสมโดยตรง
4. อ่านข้อมูลบนฉลากและเลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก
ก่อนเลือกมัทฉะสัก 1 แบรนด์มารับประทาน วัยทองควรเลือกและอ่านฉลากของมัทฉะที่มีข้อมูลครบถ้วน ระบุแหล่งผลิต วันผลิต วันหมดอายุ และเกรดของมัทฉะอย่างชัดเจน มัทฉะที่ดีควรมีข้อมูลการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย
นอกจากนี้ ควรเลือกมัทฉะออร์แกนิกที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชหรือปุ๋ยเคมี ซึ่งจะช่วยลดการสัมผัสสารพิษที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะสำหรับคนวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น
5. สังเกตกลิ่นและรสชาติ
เมื่อซื้อมาแล้ว…วัยทองก็ควรสังเกตกลิ่นและรสชาติของมัทฉะ เพราะมัทฉะคุณภาพดีควรมีกลิ่นหอมสดชื่น คล้ายผักสดหรือสาหร่ายทะเล ไม่มีกลิ่นอับหรือกลิ่นเหม็นหืน รสชาติควรมีความเข้มข้น หวานอมขมเล็กน้อย (umami) ไม่ขมจัดหรือฝาดเกินไป
หากเมื่อวัยทองชิมรสชาติและเกิดรสขมเกินไปหรือมีกลิ่นอับ แสดงว่ามัทฉะอาจมีคุณภาพต่ำหรือเก็บรักษาไม่ดี ทำให้เกิดการออกซิไดซ์และเสื่อมคุณภาพ ควรทิ้งทันที และหากไม่อยากให้เกิดปัญหาเหมือนข้อ 5 จะต้องเก็บยังไงให้มัทฉะมีคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ?
วิธีเก็บรักษามัทฉะให้คงคุณภาพ
ไม่เพียงการเลือกมัทฉะที่มีคุณภาพและดีต่อตัววัยทองแล้วเท่านั้น การเก็บรักษามัทฉะอย่างถูกวิธี เป็นอีกหนึ่งข้อสำคัญที่จะช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการและรสชาติของมัทฉะ ซึ่งมีข้อควรระวังมากกว่าชาทั่วไป เนื่องจากมัทฉะเป็นผงละเอียดที่มีพื้นที่ผิวสัมผัสกับอากาศมาก ทำให้เกิดการออกซิไดซ์ได้ง่าย ที่ผ่านมาคุณผู้อ่านเก็บถูกต้องไหม มาหาคำตอบไปพร้อมกัน
1. เก็บในภาชนะทึบแสงและปิดสนิท
คุณผู้อ่านที่เป็นวัยทองและตั้งใจอยากดื่มมัทฉะ ควรเก็บมัทฉะในภาชนะที่ทึบแสง ปิดสนิท และทนต่อความชื้น เพื่อป้องกันการสัมผัสกับแสง อากาศ และความชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสื่อมคุณภาพ ภาชนะที่ทำจากเซรามิก โลหะ หรือแก้วทึบแสงจะเหมาะสมที่สุด ขวดแก้วสีเข้มที่มีฝาปิดสนิทหรือกระป๋องโลหะออกแบบพิเศษสำหรับเก็บชาจะช่วยรักษาคุณภาพของมัทฉะได้ดีที่สุด โดยวัยทองควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติกเนื่องจากอาจมีการแลกเปลี่ยนสารเคมีกับมัทฉะได้
2. เก็บในตู้เย็นหรือที่เย็นและแห้ง
อุณหภูมิมีผลต่อการเก็บรักษามัทฉะอย่างมาก เพื่อให้ประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพของวัยทอง ควรเก็บมัทฉะในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 2 – 5 องศาเซลเซียส เพื่อชะลอการออกซิไดซ์และรักษาความสดใหม่ หากไม่สามารถเก็บในตู้เย็นได้ ควรเก็บในที่เย็นและแห้ง ห่างจากแหล่งความร้อน เช่น เตาไฟหรือแสงแดดโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ก่อนเปิดใช้มัทฉะที่เก็บในตู้เย็น ควรปล่อยให้ภาชนะอยู่ที่อุณหภูมิห้องประมาณ 15-30 นาที เพื่อป้องกันการเกิดหยดน้ำจากการควบแน่นเมื่อเปิดภาชนะ ซึ่งอาจทำให้มัทฉะเสียหายได้
3. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับกลิ่นแรง
มัทฉะสามารถดูดซับกลิ่นจากสิ่งแวดล้อมได้ง่าย วัยทองจึงควรเก็บให้ห่างจากอาหารหรือสิ่งของที่มีกลิ่นแรง เช่น เครื่องเทศ น้ำหอม หรือสารเคมีต่างๆ เพื่อรักษากลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของมัทฉะ การเก็บมัทฉะในช่องแยกในตู้เย็นหรือในตู้ที่ใช้เก็บชาโดยเฉพาะจะช่วยป้องกันการปนเปื้อนของกลิ่นและรักษาคุณภาพได้ดีที่สุด
4. ใช้ให้หมดภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
มัทฉะมีอายุการเก็บรักษาที่สั้นกว่าชาทั่วไป แม้จะเก็บในสภาวะที่เหมาะสมที่สุด มัทฉะยังคงมีการเสื่อมคุณภาพอย่างช้าๆ ดังนั้น วัยทองที่ชื่นชอบดื่มมัทฉะควรใช้มัทฉะให้หมดภายใน 1 – 2 เดือนหลังจากเปิดใช้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางโภชนาการและรสชาติที่ดีที่สุด
มัทฉะที่ยังไม่เปิดใช้และเก็บในสภาวะที่เหมาะสมจะมีอายุการเก็บรักษาประมาณ 6 -12 เดือน ขึ้นอยู่กับคุณภาพและบรรจุภัณฑ์ ควรตรวจสอบวันหมดอายุบนบรรจุภัณฑ์และใช้ก่อนวันดังกล่าวเพื่อประโยชน์สูงสุด
วิธีชงและดื่มมัทฉะให้อร่อยและได้ประโยชน์สูงสุด
อีกหนึ่งขั้นตอนที่มีความสำคัญมากๆ ต่อการรับประทานมัทฉะของวัยทอง นั้นคือวิธีการชงมัทฉะที่ถูกต้อง เพราะไม่เพียงช่วยให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด แต่ยังช่วยให้ได้รับประโยชน์ทางโภชนาการอย่างเต็มที่ด้วย มาเรียนรู้วิธีชงมัทฉะแบบดั้งเดิมและแบบประยุกต์ที่เหมาะสำหรับคนวัยทองกัน
1. การชงมัทฉะแบบดั้งเดิม (Usucha)
การชงมัทฉะแบบดั้งเดิมเรียกว่า “อุสุชะ” (Usucha) ซึ่งให้รสชาติที่กลมกล่อมและมีฟองละเอียด ต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะ ได้แก่
- ชะวัน (Chawan) – ถ้วยชามัทฉะแบบดั้งเดิม
- ชะเซน (Chasen) – ไม้ตีมัทฉะทำจากไม้ไผ่
- ชะชะกุ (Chashaku) – ช้อนตักมัทฉะ
- ฟุรุอิ (Furui) – ตะแกรงร่อนมัทฉะ
ขั้นตอนการชง
- ให้วัยทองอุ่นชะวันโดยเทน้ำร้อนลงไป หมุนให้ทั่ว แล้วเทน้ำทิ้ง
- จากนั้นเช็ดชะวันให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
- ใช้ชะชะกุตักมัทฉะประมาณ 1 – 2 ช้อน (2 กรัม) ร่อนผ่านฟุรุอิลงในชะวัน
- เติมน้ำร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 80 องศาเซลเซียส ประมาณ 70 – 80 มิลลิลิตร (ไม่ใช้น้ำเดือด เพราะจะทำให้มัทฉะขมเกินไป)
- ให้วัยทองใช้ชะเซนตีมัทฉะเป็นรูปตัว W หรือ M อย่างรวดเร็วจนเกิดฟองละเอียด
- เมื่อมัทฉะเข้ากันดีและมีฟองละเอียดที่ผิวหน้า ก็พร้อมดื่มได้ทันทีเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพวัยทอง
2. การชงมัทฉะแบบประยุกต์สำหรับวัยทอง
สำหรับคนวัยทองที่อาจไม่มีอุปกรณ์ชงมัทฉะแบบดั้งเดิม สามารถประยุกต์ใช้อุปกรณ์ในครัวเรือนได้ ดังนี้
- ใช้ถ้วยเซรามิกขนาดกว้างแทนชะวัน
- ใช้ที่ตีไข่มือ หรือเครื่องตีฟองนมแทนชะเซน
- ใช้ช้อนชาแทนชะชะกุ
- ใช้ตะแกรงร่อนแป้งขนาดเล็กแทนฟุรุอิ
ขั้นตอนการชง
- ให้วัยทองร่อนมัทฉะ 1 – 2 ช้อนชา (2 กรัม) ลงในถ้วย
- เติมน้ำร้อน (ไม่เดือด) ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ
- จากนั้นคนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกันไม่มีก้อน
- เติมน้ำร้อนอีกประมาณ 100 – 150 มิลลิลิตร
- ตีให้เกิดฟองด้วยที่ตีไข่หรือเครื่องตีฟองนม
- ดื่มทันทีขณะที่ยังร้อน เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพวัยทอง
3. มัทฉะลาเต้ สูตรเพื่อสุขภาพสำหรับวัยทอง
มัทฉะลาเต้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่นุ่มนวลและดื่มง่ายสำหรับคนวัยทองที่อาจไม่คุ้นเคยกับรสชาติของมัทฉะแท้ๆ ซึ่งเหมาะมากสำหรับวัยทองที่อยากเริ่มต้นทานนั้นเอง มัทฉะลาเต้ให้รสชาติที่นุ่มนวลกว่า แต่ยังคงได้รับประโยชน์จากมัทฉะเช่นเดียวกับการชงแบบดั้งเดิม โดยสามารถใช้นมพืชแทนนมวัวเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพที่มากขึ้น
สูตรมัทฉะลาเต้
- เริ่มต้นให้วัยทองร่อนมัทฉะ 1 – 2 ช้อนชาลงในถ้วย
- เติมน้ำร้อน 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน
- อุ่นนมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลือง 200 มิลลิลิตร (ไม่ต้องเดือด)
- เทนมที่อุ่นแล้วลงในถ้วยมัทฉะ คนให้เข้ากัน
- สามารถเติมน้ำผึ้งหรือสารให้ความหวานธรรมชาติเล็กน้อยหากต้องการ
หรือหากไม่มีเวลาในการอุ่นนม สามารถรับประทานในรูปแบบเย็นได้ โดยใช้น้ำแข็งพอประมาณเทใส่แก้ม ตามด้วยนมชนิดที่วัยทองชอบทานหรือต้องการ ตามด้วยการเทมัทฉะปิดท้าย ก็อร่อยไปอีกแบบ แถมได้สุขภาพไม่แพ้กัน
4. เวลาที่เหมาะสมในการดื่มมัทฉะสำหรับวัยทอง
เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดของมัทฉะต่อสุขภาพของวัยทอง การเลือกช่วงเวลาในการดื่มมัทฉะมีผลต่อประโยชน์ที่ได้รับ โดยเฉพาะสำหรับคนวัยทอง ดังนี้
- ตอนเช้า หากวัยทองดื่มมัทฉะในช่วงเช้า จะช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายอย่างอ่อนโยน และให้พลังงานตลอดวัน
- ก่อนออกกำลังกาย 30 นาที หากวัยทองดื่มมัทฉะก่อนออกกำลังกาย จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันและให้พลังงานสำหรับการออกกำลังกาย
- หลังอาหารกลางวัน หากวัยทองดื่มมัทฉะในช่วงหลังอาหารกลางวัย จะช่วยลดอาการง่วงในช่วงบ่าย และส่งเสริมการย่อยอาหาร
- ระหว่างมื้ออาหาร หากวัยทองดื่มมัทฉะร่วมระหว่างรับประทานอาหาร จะช่วยควบคุมความอยากอาหารและป้องกันการรับประทานมากเกินไป
สิ่งสำคัญที่วัยทองทุกท่านที่อยากเริ่มต้นดื่มมัทฉะควรทราบ ก็คือ ไม่ควรดื่มมัทฉะในช่วงเย็นหรือก่อนนอน โดยเฉพาะสำหรับวัยทองที่มีปัญหาการนอนไม่หลับ 03: 11/67 เนื่องจากคาเฟอีนในมัทฉะอาจรบกวนการนอนหลับได้ ควรดื่มมัทฉะครั้งสุดท้ายไม่เกิน 6 – 8 ชั่วโมงก่อนเข้านอน จะดีต่อสุขภาพร่างกายของวัยทองเป็นอย่างมาก
5. ปริมาณการดื่มมัทฉะที่เหมาะสมสำหรับวัยทอง
นอกจากดื่มให้ถูกต้องต่อช่วงเวลาต่างๆ ในแต่ละวันแล้ว การได้รับปริมาณมัทฉะที่แนะนำสำหรับคนวัยทอง คือ 1 – 2 ถ้วยต่อวัน (ประมาณ 2 – 4 กรัมของผงมัทฉะ) ซึ่งจะให้ประโยชน์ทางสุขภาพโดยไม่ได้รับคาเฟอีนมากเกินไป
สำหรับวัยทองที่เพิ่งเริ่มหันมาดื่มมัทฉะ ควรเริ่มต้นจากปริมาณน้อยๆ ก่อน (ครึ่งถ้วยต่อวัน) แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นเพื่อให้ร่างกายปรับตัว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีความไวต่อคาเฟอีนหรือมีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น
ข้อควรระวังในการบริโภคมัทฉะสำหรับวัยทอง
แม้ว่ามัทฉะจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังที่คนวัยทองควรคำนึงถึง
- ปริมาณคาเฟอีน มัทฉะมีคาเฟอีนสูงกว่าชาเขียวทั่วไป สำหรับวัยทองท่านใดเป็นผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือความดันโลหิตสูง ควรจำกัดการบริโภคมัทฉะในช่วงบ่ายหรือเย็น
- การดูดซึมธาตุเหล็ก สารแทนนินในมัทฉะอาจรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็ก วัยทองและผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง ควรดื่มมัทฉะห่างจากมื้ออาหารหรือการรับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็กอย่างน้อย 1 – 2 ชั่วโมง
- ปฏิกิริยากับยา มัทฉะอาจมีปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยารักษาโรคหัวใจ หรือยารักษาความดันโลหิตสูง วัยทองควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคมัทฉะเป็นประจำ หากกำลังรับประทานยาเหล่านี้
- อาการแพ้ วัยทองบางท่านอาจมีอาการแพ้มัทฉะ เช่น ผื่นคัน ปวดท้อง หรือท้องเสีย หากพบอาการผิดปกติ ควรหยุดบริโภคและปรึกษาแพทย์
- คุณภาพของผลิตภัณฑ์ วัยทองควรเลือกซื้อมัทฉะจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของโลหะหนักหรือสารเคมีอันตราย
สรุป
มัทฉะเป็นมากกว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพทั่วไป ด้วยคุณสมบัติพิเศษและสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์ มัทฉะจึงกลายเป็นทางเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับคนวัยทองที่ต้องการดูแลสุขภาพ จากการที่ได้ศึกษาประโยชน์ของมัทฉะต่อวัยทอง เราพบว่ามัทฉะมีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง ส่งเสริมสุขภาพสมอง ควบคุมน้ำหนัก บำรุงผิวพรรณ และช่วยบรรเทาอาการวัยทองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม การบริโภคมัทฉะสำหรับวัยทองควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และควรคำนึงถึงข้อควรระวังต่างๆ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังรับประทานยา การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเป็นสิ่งสำคัญก่อนเพิ่มมัทฉะเข้าไปในอาหารประจำวันในปริมาณมาก และอย่าลืมทานพร้อมกับอาหารเสริมคุณภาพดีอย่าง ดีเน่ DNAe เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของวัยทองแบบ X2