วัยทองกินไม่ระวังเสี่ยงโรคไตวาย อันตรายที่คุณควรรู้

เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายๆ ท่านที่อ่านกันอยู่ตรงนี้ น่าจะรับรู้และเข้าใจความรู้สึกในการเข้าสู่วัยทองเป็นอย่างดี และจากที่เราได้บอกผ่านข้อความไปหลายครั้งในหลายบทความว่า “วัยทอง ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต” แต่เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่ช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่ส่งผลต่อสุขภาพในหลายด้าน 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่มีอายุระหว่าง 45 – 55 ปี ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งเป็นวัยทองที่ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงต่อโรคไตวายมากขึ้น หากไม่ใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารและการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมต่อวัยทอง 04: 01/68

ทำความเข้าใจวัยทองและการทำงานของไต

“วัยทอง” เป็นช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างมาก โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงและฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในผู้ชายที่ลดลง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาหลายประการ รวมถึงการทำงานของไตที่อาจเสื่อมถอยลงตามวัย โดยไตมีหน้าที่สำคัญ คือ

  • กรองของเสียออกจากเลือด
  • ควบคุมสมดุลของน้ำและแร่ธาตุในร่างกาย
  • ผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง
  • ควบคุมความดันโลหิต

การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนในวัยทองส่งผลต่อการทำงานของไตในหลายด้าน เช่น

  1. การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้การไหลเวียนเลือดไปที่ไตลดลง
  2. ความสามารถในการกรองของเสียลดประสิทธิภาพลง
  3. ความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตเพิ่มขึ้น
  4. การควบคุมความดันโลหิตทำได้ยากขึ้น

การทำงานของไต 4 บทบาทสำคัญที่ควรเข้าใจในวัยทอง

1. การกรองของเสียออกจากเลือด

ไต อวัยวะในร่างกายของเราทำหน้าที่เสมือนโรงงานบำบัดน้ำเสียขนาดจิ๋วที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยในแต่ละวันไตจะกรองเลือดมากถึง 180 ลิตร ผ่านหน่วยไตจำนวนประมาณ 1 ล้านหน่วยในแต่ละข้าง โดยเลือดที่ไหลผ่านไตจะถูกกรองผ่านโกลเมอรูลัส ซึ่งเป็นกลุ่มหลอดเลือดฝอยที่มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถกรองสารต่างๆ ได้อย่างเฉพาะเจาะจง ของเสียที่ถูกกรองออกมา ได้แก่ 

  • ยูเรีย เกิดจากการย่อยสลายโปรตีนที่เรารับประทานเข้าไป หากมีการสะสมของยูเรียมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และอ่อนเพลีย
  • ครีเอตินิน เป็นของเสียที่เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ ระดับครีเอตินินในเลือดเป็นตัวชี้วัดสำคัญของการทำงานของไต
  • กรดยูริก เกิดจากการย่อยสลายสารพิวรีนในอาหาร เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล หากมีมากเกินไปจะก่อให้เกิดโรคเกาต์

2. การควบคุมสมดุลของน้ำและแร่ธาตุ

นอกจากกรองของเสียออกจากเลือดแล้ว ไตยังทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้ำและแร่ธาตุในร่างกาย เปรียบเสมือนระบบชลประทานอัจฉริยะที่คอยควบคุมปริมาณน้ำและแร่ธาตุให้เหมาะสมต่อร่างกายตลอดเวลา โดยมีการควบคุมน้ำ ดังนี้

  • ดูดซึมน้ำกลับเมื่อร่างกายต้องการ
  • ขับน้ำส่วนเกินออกทางปัสสาวะ
  • ตอบสนองต่อฮอร์โมน ADH (Antidiuretic Hormone) ที่ควบคุมการดูดซึมน้ำ

การควบคุมแร่ธาตุสำคัญ

โซเดียม

  • ควบคุมปริมาณน้ำในร่างกาย
  • มีผลต่อความดันโลหิต
  • ต้องควบคุมการรับประทานเกลือในวัยทอง

โพแทสเซียม

  • สำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและหัวใจ
  • ต้องรักษาระดับให้สมดุล
  • หากสูงหรือต่ำเกินไปอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

แคลเซียมและฟอสเฟต

  • สำคัญต่อความแข็งแรงของกระดูก
  • ต้องดูแลเป็นพิเศษในวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน

3. การผลิตฮอร์โมนสำหรับสร้างเม็ดเลือดแดง

ไตผลิตฮอร์โมน Erythropoietin (EPO) ซึ่งมีความสำคัญต่อร่างกาย ในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระบวนการนี้มีความซับซ้อนและต้องทำงานประสานกันหลายระบบ โดยบทบาทของ EPO ในร่างกายของเรา คือ

การกระตุ้นไขกระดูก

  • EPO จะกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง
  • ควบคุมอัตราการสร้างให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย
  • ตอบสนองต่อภาวะที่ร่างกายขาดออกซิเจน

การป้องกันภาวะโลหิตจาง

  • รักษาระดับเม็ดเลือดแดงให้เพียงพอ
  • สำคัญมากในวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง
  • ต้องดูแลเป็นพิเศษในผู้ที่มีโรคไตเรื้อรัง

4. การควบคุมความดันโลหิต

ไตมีบทบาทสำคัญในการควบคุมความดันโลหิตผ่านระบบ Renin-Angiotensin-Aldosterone (RAAS) ซึ่งทำงานเหมือนระบบควบคุมความดันอัตโนมัติในร่างกาย โดยมีกลไกลการควบคุมความดันโลหิต ดังนี้

  1. การผลิตเอนไซม์ Renin
  • ตอบสนองต่อความดันโลหิตที่ลดลง
  • กระตุ้นการสร้าง Angiotensin II
  • ควบคุมการหดตัวของหลอดเลือด
  1. การควบคุมปริมาตรเลือด
  • ปรับการดูดซึมโซเดียมและน้ำ
  • รักษาความดันโลหิตให้คงที่
  • สำคัญมากในวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง

และนี่ คือ ลักษณะของการทำงานของไตอย่างคร่าวๆ ที่เรานำมาฝากคุณผู้อ่านกัน ดังนั้น การดูแลสุขภาพไตในวัยทองจึงต้องให้ความสำคัญกับทุกระบบการทำงาน เพราะแต่ละระบบมีความเชื่อมโยงและส่งผลต่อกัน การเข้าใจการทำงานทั้ง 4 ด้านนี้ จะช่วยให้คุณผู้อ่านสามารถดูแลสุขภาพไตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน และรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยทอง

เลือกทานแบบไหน? วัยทองถึงเสี่ยงต่อโรคไต

หากคุณผู้อ่านมีพฤติกรรมที่ชอบทานอาหารเป็นชีวิตจิตใจ และยิ่งเป็นวัยทองแล้วด้วย อยากจะบอกกันตรงๆ ว่าการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมต่อร่างกาย มีส่วนในการช่วยเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคไตในกลุ่มวัยทองด้วย การทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง แล้วพฤติกรรมใดบ้างที่มีความเสี่ยง…

  1. การบริโภคโปรตีนมากเกินไป

หากท่านใดที่เป็นวัยทอง และมีความกังวลเรื่องมวลกล้ามเนื้อที่ลดลงในวัยทองนั้น ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่การบริโภคโปรตีนมากเกินไปกลับส่งผลเสียต่อไต เนื่องจากไตต้องทำงานหนักในการกำจัดของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญโปรตีน เช่น ยูเรีย และครีเอตินิน 

ดังนั้น ปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมสำหรับวัยทองควรอยู่ที่ 0.8 – 1.0 กรัม หรือ 1.0 – 1.2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน ผ่านการเลือกแหล่งโปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา ไข่ขาว หรือโปรตีนจากพืช 05: 01/68 ถั่วเหลือง และถั่วเมล็ดแห้ง

  1. การรับประทานอาหารรสเค็มจัด

จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในวัยทองมักส่งผลต่อการรับรสและความอยากอาหาร ทำให้หลายคนชอบรับประทานอาหารรสจัดมากขึ้น โดยเฉพาะรสเค็ม ซึ่งมีโซเดียมสูง ซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่อาจทำให้เกิดโรคไตในวัยทอง การบริโภคโซเดียมมากเกินไป ไม่เพียงส่งผลต่อความดันโลหิตเท่านั้น แต่ยังเพิ่มภาระให้ไตในการกรองและขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย ควรจำกัดปริมาณโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน

  1. การดื่มน้ำไม่เพียงพอ

ความรู้สึกกระหายน้ำที่ลดลงในวัยทองเป็นปัญหาสำคัญ เพราะการได้รับน้ำไม่เพียงพอส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักขึ้นในการเข้มข้นปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต และภาวะไตวายเรื้อรัง 

แนะนำว่าคุณผู้อ่านที่เป็นวัยทองควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 6 – 8 แก้วต่อวัน หรือประมาณ 30 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำสะอาดที่เพียงพอ

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อโรคไตวาย

การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมต่อวัยทองอาจมีส่วนเร่งให้ไตเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เราจะมาทำความเข้าใจในรายละเอียดของอาหารแต่ละประเภทที่วัยทองควรหลีกเลี่ยง โดยเริ่มต้นจาก

  1. อาหารที่มีโซเดียมสูง 

เป็นกลุ่มอาหารที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของไต เพราะโซเดียมทำให้ร่างกายต้องดึงน้ำเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น ส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักในการกรองและรักษาสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย อาหารในกลุ่มนี้ประกอบด้วย

  • อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน และอาหารสำเร็จรูปต่างๆ มักมีการเติมเกลือและสารกันบูดที่มีโซเดียมสูง การรับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำจะทำให้ได้รับโซเดียมเกินความต้องการของร่างกายโดยไม่รู้ตัว
  • อาหารหมักดอง ทั้งผักดอง ผลไม้ดอง และเนื้อสัตว์หมักดอง นอกจากจะมีปริมาณเกลือสูงแล้ว ยังมีไนเตรทที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อไตในระยะยาว โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะไตเสื่อมอยู่แล้ว
  • ผงชูรสและเครื่องปรุงรสต่างๆ เช่น ซอสปรุงรส ซีอิ๊ว น้ำปลา และซอสหอยนางรม ล้วนมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบหลัก การใช้เครื่องปรุงเหล่านี้ควรจำกัดปริมาณอย่างเคร่งครัด และพยายามปรับมาใช้เครื่องเทศและสมุนไพรธรรมชาติแทน
  • อาหารกระป๋อง มักผ่านกระบวนการถนอมอาหารด้วยเกลือและสารกันบูด ทำให้มีปริมาณโซเดียมสูง แม้จะสะดวกในการเก็บรักษา แต่ควรเลือกรับประทานอาหารสดที่ปรุงเองจะดีกว่า
  1. อาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง

เป็นอีกกลุ่มที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเมื่อไตทำงานบกพร่องจะไม่สามารถขับฟอสฟอรัสส่วนเกินออกจากร่างกายได้ ส่งผลให้กระดูกเปราะบางและหลอดเลือดแข็งตัว อาหารในกลุ่มนี้ได้แก่

  • เครื่องในสัตว์ โดยเฉพาะตับ ไต และหัวใจ แม้จะมีสารอาหารสูง แต่ก็มีฟอสฟอรัสในปริมาณมาก ควรหลีกเลี่ยงหรือรับประทานในปริมาณจำกัด
  • อาหารทะเลบางชนิด เช่น กุ้ง ปู และหอย นอกจากจะมีฟอสฟอรัสสูงแล้ว ยังมักมีการปรุงรสเค็มจัด ทำให้ได้รับทั้งฟอสฟอรัสและโซเดียมในปริมาณมาก
  • เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา และเครื่องดื่มชูกำลัง นอกจากจะมีฟอสฟอรัสสูงแล้ว ยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายวัยทองสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ส่งผลต่อการทำงานของไต
  • น้ำอัดลม โดยเฉพาะน้ำอัดลมที่มีสีดำ มีทั้งฟอสฟอรัสและกรดฟอสฟอริกที่อาจรบกวนการดูดซึมแคลเซียม และส่งผลต่อสุขภาพไตในระยะยาว

นอกจากอาหารที่มีโซเดียมและฟอสฟอรัสสูงแล้ว เราขอแนะนำกลุ่มอาหารที่วัยทองยังควรระวังเพิ่มเติม อาทิ 

  • โพแทสเซียมสูง ผู้ที่มีภาวะไตเสื่อมควรระวังการรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย ส้ม มะเขือเทศ และผักใบเขียว เนื่องจากไตอาจไม่สามารถขับโพแทสเซียมส่วนเกินออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตบริสุทธิ์ การบริโภคน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตบริสุทธิ์มากเกินไปอาจนำไปสู่โรคเบาหวาน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคไตเรื้อรัง

การป้องกันและดูแลสุขภาพไตในวัยทองควรเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะการตรวจการทำงานของไต เพื่อค้นพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ต่อไปเราจะไปดูแนวทางการทานอาหารที่เหมาะสมสำหรับวัยทองและดีต่อไต

ทานอย่างไร? ให้ดีต่อไต และดีต่อวัยทอง

การดูแลสุขภาพไตในวัยทองเริ่มต้นได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะการเลือกอาหารที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมกับสภาพร่างกาย การทำความเข้าใจหลักการรับประทานอาหารที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันภาวะไตวายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มต้นจาก

  1. การจัดสัดส่วนอาหารที่เหมาะสม

ในแต่ละมื้ออาหารที่วัยทองรับประทานในแต่ละวัน ควรจัดสัดส่วนอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยคำนึงถึงปริมาณที่เหมาะสมสำหรับวัยทอง ดังนี้

  • โปรตีน

ควรได้รับประมาณ 0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน โดยเลือกโปรตีนคุณภาพดีจากเนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ขาว และถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง การได้รับโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อโดยไม่เพิ่มภาระให้กับไต

  • คาร์โบไฮเดรต 

เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีใยอาหารสูง เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ธัญพืชไม่ขัดสี ซึ่งจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคไตวาย

  • ผักและผลไม้

ผักและผลไม้เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญสำหรับวัยทอง แต่ต้องเลือกรับประทานอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคไตวาย

ผักที่แนะนำ

  • ผักใบเขียวที่มีโพแทสเซียมต่ำ เช่น ผักกาดขาว ผักกาดหอม
  • ถั่วงอก หัวไชเท้า แตงกวา
  • บร็อกโคลี่ กะหล่ำปลี (ในปริมาณที่เหมาะสม)

ผลไม้ที่แนะนำ

  • แอปเปิ้ล
  • สาลี่
  • องุ่น
  • ส้ม (ในปริมาณที่จำกัด)

ในยุคปัจจุบันแบบเชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายท่านที่เข้าสู่วัยทอง นอกจากการให้ความสนใจุเรื่องสุขภาพอย่างอาหารการกินแล้ว ก็มักให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงร่างกายอยู่ด้วยแน่นอน แต่การเลือกผลิตภัณฑ์และการรับประทานที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตให้ทำงานหนักกว่าเดิมได้ เรามีผลิตภัณฑ์ที่ดีมาแนะนำอีกเช่นเคยกับ 

“ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus)” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของสารสกัดหลายชนิดที่คิดค้นมาเพื่อผู้ชายวัยทองโดยเฉพาะ โดยมีสารสกัดที่สำคัญที่ดีต่อไต อาทิ

  • โสมเกาหลีและฟีนูกรีก ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยปกป้องเซลล์ไตจากความเสียหาย และสนับสนุนการไหลเวียนเลือดไปยังไต ทำให้ไตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • แอล-อาร์จินีน ช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงไตได้ดีขึ้น
  • สารสกัดกระชายดำและแปะก๊วย มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบในเนื้อเยื่อไต ขณะที่
  • ซิงค์ มีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ไต
  • งาดำ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ไต

*ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนรับประทาน

และ “ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus)” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีดีมากกว่าแค่สารสกัดจากธรรมชาติ เพราะได้รวบรวมคุณประโยชน์หลากหลายชนิดใส่มาเพื่อคุณผู้หญิงที่เป็นวัยทองโดนเฉพาะ อาทิ

  • สารสกัดจากถั่วเหลืองและตังกุย ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ซึ่งส่งผลดีต่อการทำงานของไต
  • แปะก๊วยและงาดำ ทำงานร่วมกันในการปกป้องหลอดเลือดฝอยในไต ช่วยให้การกรองของเสียมีประสิทธิภาพดีขึ้น
  • แครนเบอร์รี่ออร์แกนิค มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นการปกป้องไตทางอ้อม 
  • อินูลิน รักษาสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษที่อาจส่งผลต่อการทำงานของไต

*ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนรับประทาน

โดยทั้งผลิตภัณฑ์ทั้งสูตรของคุณผู้หญิง และคุณผู้ชาย เพียงทานแค่วันละ 1 แคปซูล หลังอาหารมื้อใดก็ได้ที่คุณสะดวก นอกจากจะช่วยเรื่องของสุขภาพโดยรวมแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการวัยทอง เช่น อาการร้อนวูบวาบ อาการนอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน เป็นต้น ให้ดียิ่งขึ้น จากการปรับสมดุลภายในร่างกายนั้นเอง

  1. ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันโรคไตวาย

การออกกำลังกายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการดูแลสุขภาพไตสำหรับวัยทอง การเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดและระบบขับถ่าย ซึ่งส่งผลดีต่อการทำงานของไต โดยกิจกรรมการออกกำลังกายที่แนะนำ

  • การเดินเร็ว 

การเดินเร็วเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับวัยทองมากๆ  เนื่องจากเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่มีแรงกระแทกต่ำ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังไตและอวัยวะต่างๆ ได้ดี สำหรับวัยทองที่เพิ่งเริ่ม ควรเริ่มต้นด้วยการเดิน 15 – 20 นาทีต่อวัน และจากนั้นค่อยๆ เพิ่มเป็น 30 – 45 นาทีตามความเหมาะสมที่ร่างกายของตนเองรับไหว

  • โยคะหรือการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ 

การฝึกโยคะหรือการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและการทรงตัวที่ดีสำหรับวัยทองแบบเราๆ อีกทั้งยังช่วยลดความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความดันโลหิตและการทำงานของไต แต่ทั้งนี้ทั้งนี้ คุณผู้อ่านควรเลือกท่าที่เหมาะสมกับวัยและไม่หักโหมจนเกินไปต่อตัวเองด้วย

  • ว่ายน้ำ 

การว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับวัยทอง เนื่องจากน้ำช่วยพยุงน้ำหนักตัว ทำให้ข้อต่อและกระดูกไม่ต้องรับแรงกระแทก แถมอยู่ในร่มอากาศไม่ร้อน การว่ายน้ำช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย กระตุ้นการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งส่งผลดีต่อการทำงานของไต ควรเริ่มต้นด้วยการว่ายน้ำเบาๆ ครั้งละ 15 – 20 นาที สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง

  • ไทชิหรือชี่กง

ศาสตร์การออกกำลังกายแบบจีนโบราณอย่างไทชิหรือชี่กง เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้าๆ ประกอบกับการหายใจที่ถูกต้อง ซึ่งช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดความเครียด และปรับสมดุลการทำงานของอวัยวะภายใน รวมถึงไตของวัยทอง 

การฝึกไทชิหรือชี่กงอย่างสม่ำเสมอยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและการทรงตัว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับวัยทอง

  1. การตรวจสุขภาพไตสำหรับวัยทอง

การตรวจสุขภาพไตอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่เข้าสู่วัยทอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไตวาย การตรวจสุขภาพไตที่ควรทำประกอบด้วย

  • การตรวจเลือด การตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของไตมีหลายค่าที่สำคัญ ได้แก่
  1. ค่าครีเอตินิน (Creatinine) เป็นของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญของกล้ามเนื้อ ในภาวะปกติ ไตจะกรองครีเอตินินออกจากเลือด หากค่าครีเอตินินในเลือดสูงกว่าปกติ อาจบ่งชี้ว่าไตทำงานบกพร่อง โดยค่าปกติของครีเอตินินในเลือดอยู่ที่
  • ผู้ชาย: 0.7 – 1.3 mg/dL
  • ผู้หญิง: 0.6 – 1.1 mg/dL
  1. อัตราการกรองของไต (eGFR – estimated Glomerular Filtration Rate) เป็นค่าที่ใช้ประเมินประสิทธิภาพการทำงานของไต คำนวณจากค่าครีเอตินินในเลือด อายุ เพศ และเชื้อชาติ ค่า eGFR ที่ต่ำกว่า 60 mL/min/1.73m² ติดต่อกันเกิน 3 เดือน บ่งชี้ว่ามีภาวะไตเรื้อรัง
  • การตรวจปัสสาวะ การตรวจปัสสาวะช่วยประเมินการทำงานของไตได้หลายด้าน เช่น
  • การตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะ
  • การตรวจหาเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ
  • การตรวจความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะ

สัญญาณเตือนโรคไตวายในวัยทอง

แล้วหากคุณผู้อ่านเข้าสู่วัยทองแรกๆ หรือวัยทองท่านใดที่ไม่เคยประสบหรือพบเจอกับอาการที่เกี่ยวกับโรคไตมาก่อน จะสามารถสังเกตอย่างไรได้บ้าง วันนี้เราจะพาไปดูวิธีการสังเกตสัญญาณเตือนของโรคไตวายตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจะช่วยให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที และสัญญาณที่ควรสังเกตมี ดังนี้

อาการเตือนระยะแรก

  1. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  2. ปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน
  3. บวมบริเวณเท้าและข้อเท้า โดยเฉพาะในช่วงเย็น
  4. ความดันโลหิตสูงขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
  5. เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

อาการเตือนระยะรุนแรง

  1. คลื่นไส้ อาเจียน
  2. หายใจลำบาก หอบเหนื่อย
  3. สับสน ความจำเสื่อม
  4. ผิวหนังคัน
  5. กล้ามเนื้อกระตุก

สรุป

การดูแลสุขภาพไตในวัยทองไม่ใช่เรื่องยาก หากเข้าใจและปฏิบัติอย่างถูกต้อง การป้องกันและดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไตวายและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ทำให้สามารถใช้ชีวิตในวัยทองได้อย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี