“วัยทอง” เป็นช่วงวัยแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสุขภาพซึ่ง “มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก” เป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในประชากรไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงวัยทองที่ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย
จากข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติแสดงให้เห็นว่าอัตราการเกิดโรคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี โดยพบว่าผู้หญิงวัยทองมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและการซ่อมแซมเซลล์ของร่างกาย แล้วคนไทยที่เป็นวัยทองมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้มากน้อยแค่ไหน
จากสถิติและความเสี่ยงในประเทศไทย
ตามรายงานของสถาบันมะเร็งแห่งชาติปี 2023 พบว่า
- มะเร็งลำไส้พบมากเป็นอันดับ 3 ในผู้ชายและอันดับ 4 ในผู้หญิง
- อัตราการเกิดโรคสูงขึ้นร้อยละ 5 ต่อปี
- อายุเฉลี่ยขอ
มะเร็งลำไส้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
คุณผู้อ่านทุกท่านน่าจะทราบกันดีว่าการเกิดมะเร็งลำไส้เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน โดยจะเริ่มต้นจากการที่เซลล์ปกติในผนังลำไส้ใหญ่เกิดการกลายพันธุ์ ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น อาหารที่มีไขมันสูง การได้รับสารก่อมะเร็ง หรือความผิดปกติทางพันธุกรรม เมื่อเซลล์ที่ผิดปกตินี้เติบโตและแบ่งตัว จะก่อตัวเป็นติ่งเนื้องอกขนาดเล็กที่ยื่นออกมาจากผนังลำไส้
ติ่งเนื้องอกในระยะแรกมักไม่อันตรายและไม่แสดงอาการใดๆ แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการตรวจพบและรักษา เซลล์ในติ่งเนื้องอกอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง กระบวนการนี้มักใช้เวลา 5 – 10 ปี ซึ่งถือเป็นข้อดีที่ทำให้เรามีโอกาสในการตรวจพบและป้องกันได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น แต่หากเมื่อเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นแล้ว จะมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วและไม่เป็นระเบียบ สามารถแทรกซึมเข้าไปในชั้นผนังลำไส้ที่ลึกขึ้น และหากไม่ได้รับการรักษา อาจแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองและอวัยวะอื่นๆ ได้ในที่สุด
แล้วอะไร คือ สาเหตุที่เพิ่มปัจจัยเสี่ยงให้กับวัยทองมากขึ้น?
ปัจจัยเสี่ยงในวัยทอง การเปลี่ยนแปลงที่ต้องใส่ใจ
อย่างที่คุณผู้อ่านทราบกันดีว่า…ช่วงวัยทองเป็นระยะสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่ส่งผลต่อความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การมาทำความเข้าใจกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ให้เราได้หาทางหลีกเลี่ยงหรือป้องกัน สามารถเป็นจุดเริ่มต้นได้เป็นอย่างดี
1. การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน: ผลกระทบที่มากกว่าที่คิด
วัยทองเป็นช่วงที่ร่างกายเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนอย่างมาก โดยในผู้หญิง ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ในผู้ชายระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะค่อยๆ ลดลง การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบต่อร่างกายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น…
- การทำงานของเยื่อบุลำไส้ ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดน้อยลง เมื่อเข้าสู่วัยทองมีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมและรักษาความแข็งแรงของเยื่อบุลำไส้ เมื่อระดับฮอร์โมนลดลงอาจทำให้เยื่อบุลำไส้อ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติ พัฒนาสู่มะเร็งได้
- การควบคุมการอักเสบ ฮอร์โมนเพศมีส่วนในการควบคุมกระบวนการอักเสบในร่างกาย เมื่อระดับฮอร์โมนลดลง อาจทำให้วัยทองเกิดการอักเสบเรื้อรังได้ง่ายขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้ ฮอร์โมนมีผลต่อความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันการเกิดมะเร็ง
2. การเผาผลาญที่เปลี่ยนแปลงวงจรที่ต้องเข้าใจ
เมื่ออายุมากขึ้น อัตราการเผาผลาญที่ช้าลงในวัยทองก็เป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกัน อาทิ
- มวลกล้ามเนื้อที่ลดลง ทำให้การเผาผลาญพลังงานโดยรวมลดลง
- การทำงานของเอนไซม์ที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการย่อยและกำจัดสารพิษ
- การไหลเวียนเลือดที่ช้าลง ทำให้การขนส่งสารอาหารและการกำจัดของเสียไม่มีประสิทธิภาพ
ผลที่ตามมา คือ…
- การสะสมของสารพิษในลำไส้เพิ่มขึ้น
- ระยะเวลาที่ของเสียอยู่ในลำไส้นานขึ้น
- โอกาสที่เซลล์ลำไส้จะสัมผัสกับสารก่อมะเร็งมากขึ้น
3. ระบบภูมิคุ้มกันที่เปลี่ยนแปลง เกิดการป้องกันที่อ่อนแอลง
ภูมิคุ้มกันที่เปลี่ยนแปลงในวัยทองส่งผลต่อการป้องกันมะเร็งหลายประการ ดังนี้
- การตรวจจับเซลล์ผิดปกติ เซลล์ภูมิคุ้มกันมีประสิทธิภาพลดลงในการค้นหาและทำลายเซลล์ที่ผิดปกติ
- การตอบสนองต่อการอักเสบ ระบบภูมิคุ้มกันอาจตอบสนองไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง
- การฟื้นฟูเนื้อเยื่อ ความสามารถในการซ่อมแซมความเสียหายของเซลล์ลดลง
สัญญาณเตือนที่วัยทองไม่ควรมองข้าม
เพื่อให้ตัวเรานั้นเท่าทันต่อโรคที่พึงระวังมากขึ้น นอกจากการเรียนรู้และทำความเข้าใจโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงวัยทองแล้ว การสังเกตอาการผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและรักษามะเร็งลำไส้ให้ได้ผลดี การตรวจพบและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจะเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้มากถึง 90% ผู้ที่อยู่ในวัยทองควรให้ความสนใจกับสัญญาณเตือนต่างๆ ดังต่อไปนี้
อาการทางระบบทางเดินอาหาร
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินอาหารอาจเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ ที่อาจนำพาไปสู่การเกิดมะเร็งลำไส้ โดยควรสังเกตอาการต่อไปนี้
- การเปลี่ยนแปลงของการขับถ่าย
หนึ่งในสัญญาแรกที่ไม่ควรละเลย คือ การเปลี่ยนแปลงของการขับถ่ายเป็นสัญญาณเตือนที่พบได้บ่อยที่สุด โดยมีรายละเอียดที่ควรสังเกตดังนี้
- วัยทองมีอาการท้องผูกสลับท้องเสียที่เกิดขึ้นใหม่และเป็นต่อเนื่อง
- เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน เช่น การเปลี่ยนแปลงอาหารหรือยา
- เป็นต่อเนื่องนานกว่า 2-3 สัปดาห์
- อาการไม่ดีขึ้นแม้จะปรับเปลี่ยนอาหารหรือการดำเนินชีวิต
- วัยทองมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะหรือขนาดของอุจจาระ
- อุจจาระมีขนาดเล็กลงผิดปกติ (pencil-like stool)
- อุจจาระมีลักษณะแบนหรือเป็นริ้ว
- การเปลี่ยนแปลงของความแข็ง – นิ่มของอุจจาระโดยไม่มีสาเหตุ
- วัยทองมีความรู้สึกถ่ายไม่สุด หรือต้องถ่ายบ่อยขึ้นผิดปกติ
- รู้สึกต้องเข้าห้องน้ำทั้งที่เพิ่งถ่ายมา
- มีความรู้สึกปวดถ่ายแต่ถ่ายไม่ออก
- ความถี่ในการถ่ายเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ
- อาการผิดปกติที่ต้องระวัง สัญญาณอันตรายที่ต้องพบแพทย์
- วัยทองอาจพบเลือดปนในอุจจาระหรือบนกระดาษชำระ
- อาจเห็นเป็นเลือดสดสีแดง
- อาจพบคราบเลือดติดบนกระดาษชำระ
- บางครั้งอาจสังเกตเห็นเป็นเส้นเลือดปนในอุจจาระ
- อุจจาระมีสีดำผิดปกติ
- สีดำคล้ำที่ไม่ได้เกิดจากการรับประทานยาหรืออาหารบางชนิด
- มีลักษณะเหนียวคล้ายน้ำมันดิน
- อาจมีกลิ่นผิดปกติร่วมด้วย
- มีมูกปนในอุจจาระ
- สังเกตเห็นเมือกสีขาวหรือใสปนในอุจจาระ
- อาจพบร่วมกับเลือดหรืออาการอื่นๆ
- มูกมีปริมาณมากผิดปกติ
- อาการปวดและความไม่สบาย ความผิดปกติที่ต้องเฝ้าระวัง
- วัยทองมีอาการปวดท้องเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
- อาการปวดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์
- ความเจ็บปวดที่ไม่สัมพันธ์กับการรับประทานอาหาร
- อาการปวดที่ไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวดทั่วไป
- วัยทองมีอาการแน่นท้อง อืดท้องบ่อยครั้ง
- ความรู้สึกอึดอัดที่เกิดขึ้นบ่อย
- อาการไม่สัมพันธ์กับมื้ออาหาร
- อาการไม่ดีขึ้นแม้จะปรับเปลี่ยนอาหาร
- วัยทองรู้สึกมีก๊าซในลำไส้มากผิดปกติ
- ท้องอืดเฟ้อรุนแรง
- มีเสียงลำไส้ดังผิดปกติ
- รู้สึกไม่สบายท้องตลอดเวลา
คำแนะนำเมื่อพบสัญญาณเตือน
- จดบันทึกอาการอย่างละเอียด รวมถึงความถี่และความรุนแรง
- สังเกตปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้อง เช่น อาหาร ความเครียด
- ปรึกษาแพทย์โดยเร็ว โดยเฉพาะหากมีอาการต่อเนื่องนานกว่า 2 สัปดาห์
- เตรียมประวัติการเจ็บป่วยและการรักษาในอดีตเพื่อแจ้งแพทย์
- อย่าละเลยหรือรอให้อาการรุนแรงขึ้น เพราะการรักษาแต่เนิ่นๆ จะให้ผลดีที่สุด
วิธีป้องกันมะเร็งลำไส้สำหรับวัยทองที่ใครก็ทำได้
มะเร็งลำไส้เป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบบ่อยในผู้สูงวัย โดยเฉพาะในช่วงวัยทอง การป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และแน่นอนว่าเรารวบรวมวิธีการป้องกันโดยละเอียดกันาฝากคุณผู้อ่านกันอีกเช่นเคย โดยเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม ดังนี้
1. การควบคุมอาหาร
การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมสำหรับวัยทองที่มีประโยชน์ไม่เพียงช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม ควรรับประทานให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วน โดยแบ่งเป็นผัก 3 ส่วน และผลไม้ 2 ส่วน มาทำความเข้าใจกันว่าทำไมอาหารแต่ละประเภทจึงสำคัญ
- ผักและผลไม้สด อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็น ช่วยต่อต้านการอักเสบและการเกิดมะเร็ง โดยควรเลือกหลากสี
- ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม บร็อคโคลี่ อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยต้านการอักเสบ
- ผักและผลไม้สีส้มแดง เช่น แครอท มะเขือเทศ ส้ม มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
- ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก มีสารซัลโฟราเฟนที่ช่วยยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง
- อาหารที่มีใยอาหารสูง ใยอาหารช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีห่างไกลมะเร็งลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยให้แบคทีเรียที่ดีในลำไส้เจริญเติบโต
- ใยอาหารที่ละลายน้ำได้ พบในผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล ส้ม และธัญพืช ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ พบในผักใบเขียว และเปลือกธัญพืช ช่วยในการขับถ่าย ควรได้รับใยอาหารวันละ 25 – 35 กรัม เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ที่อาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งลำไส้ในวัยทอง
- ปลาและเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี มีกรดไขมันโอเมก้า – 3 ที่ช่วยลดการอักเสบ โดยเฉพาะปลาทะเลน้ำลึก
- ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน อุดมด้วยโอเมก้า – 3 ช่วยลดการอักเสบของร่างกายวัยทอง
- เนื้อไก่ไม่ติดหนัง เนื้อปลา เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีที่ย่อยง่าย วัยทองควรรับประทานปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 – 3 มื้อ
- ธัญพืชไม่ขัดสี เมล็ดพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ทำให้รำและจมูกไม่สูญเสียไปในกระบวนการขัดสี และไม่สูญเสียสารอาหารสำคัญไปในกระบวนการแปรรูป นักวิทยาศาสตร์ได้ระบุว่าธัญพืชไม่ขัดสีมีเส้นใยอาหารและสารอาหารสูงมาก
- ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ มีวิตามินบี ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระสูง
- ข้าวโอ๊ต ลูกเดือย ควินัว เป็นแหล่งของใยอาหารและสารอาหารที่มีประโยชน์ วัยทองควรเลือกธัญพืชไม่ขัดสีแทนธัญพืชขัดขาวในทุกมื้อ
- โปรตีนจากพืช อาหารที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการจากผัก ผลไม้ อีกทั้งยังได้โปรตีนจากถั่วหรือธัญพืชต่างๆ มีไฟเบอร์ที่ช่วยเรื่องระบบการขับถ่าย ย่อยและดูดซึมง่าย ไม่มีคอเลสเตอรอลให้กังวลใจ โปรตีนจากพืชที่ดีสำหรับวัยทอง 05: 02/68
- ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง อุดมด้วยโปรตีน ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ
- เต้าหู้และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง มีไอโซฟลาโวนที่ช่วยป้องกันมะเร็ง ควรรับประทานโปรตีนจากพืชสลับกับโปรตีนจากสัตว์ อย่างน้อย 2 – 3 มื้อต่อสัปดาห์
การป้องกันมะเร็งลำไส้ในวัยทองเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารจึงเป็นด่านแรกที่สำคัญในการป้องกัน
เราจึงอยากจะขอแนะนำอาหารเสริมสูตรคุณหมอที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อ “วัยทอง” โดยเฉพาะ โดยรวบรวมสารสกัดเข้มข้นจากธรรมชาติที่คัดสรรแล้วว่าดีต่อสุขภาพของวัยทอง นำมาบรรจุไว้ในรูปแบบแคปซูล ซึ่งมีทั้งสูตรของผู้ชายวัยทอง และผู้หญิงวัยทอง ให้คุณผู้อ่านได้ดูแลสุขภาพแบบคูณสอง
“ดีเน่ แอนโดรพลัส DNAe Andro plus” (สำหรับคุณผู้ชาย)
อาหารเสริมเพื่อสุขภาพตัวช่วยปรับในการสมดุลฮอร์โมนร่างกายของคุณผู้ชายวัยทอง ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติหลากลายชนิดที่ช่วยดูแลสุขภาพและบรรเทาอาการวัยทอง ซึ่งมีคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยมี…
- สารสกัดจากโสมเกาหลี ที่มีสารจินเซนโนไซด์ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และต้านการอักเสบในร่างกาย งานวิจัยพบว่าสารนี้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดเซลล์มะเร็ง และยังช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น
- สารสกัดจากฟีนูกรีก มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และยังมีเส้นใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง
- แอล อาร์จีนีน เป็นกรดอะมิโนที่ช่วยในการสร้างไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น เลือดนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ได้ดี รวมถึงเซลล์ในระบบทางเดินอาหาร
- สารสกัดกระชายดำ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และยังมีผลในการกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร
- ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์และเนื้อเยื่อ รวมถึงเยื่อบุผนังลำไส้ให้แข็งแรง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน และมีบทบาทสำคัญในการต้านการเกิดมะเร็ง
- สารสกัดจากแปะก๊วย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ต้านอนุมูลอิสระ และลดการอักเสบ มีส่วนช่วยในการป้องกันการเสื่อมของเซลล์และการกลายพันธุ์ที่อาจนำไปสู่มะเร็ง และ
- สารสกัดจากงาดำ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี และแร่ธาตุที่จำเป็น ช่วยบำรุงร่างกาย เสริมภูมิคุ้มกัน และมีเส้นใยที่ช่วยในการขับถ่าย
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
และ “ดีเน่ ฟวาโวพลัส DNAe Flavoplus” (สำหรับคุณผู้หญิง)
เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกแบบมาเพื่อช่วยดูแลสุขภาพสตรีวัยทองโดยเฉพาะ โดยแต่ละส่วนประกอบมีคุณสมบัติที่เกื้อหนุนกัน ช่วยบรรเทาอาการที่พบได้บ่อยในวัยทอง รวมสารสกัดที่มีประโยชน์หลากหลายชนิด มาดูกันว่าแต่ละสารมีบทบาทอย่างไรในการป้องกันมะเร็งลำไส้
- สารสกัดจากถั่วเหลือง จากประเทศสเปนมีความพิเศษตรงที่อุดมด้วยไอโซฟลาโวน ซึ่งเป็นสารในกลุ่มไฟโตเอสโตรเจน มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย นอกจากช่วยบรรเทาอาการวัยทองแล้ว ยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบในลำไส้ และป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์ที่อาจนำไปสู่มะเร็ง
- สารสกัดจากตังกุย หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โสมผู้หญิง” มีสารออกฤทธิ์หลายชนิดที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ต้านการอักเสบ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด การไหลเวียนเลือดที่ดีช่วยให้เซลล์ในลำไส้ได้รับออกซิเจนและสารอาหารอย่างเพียงพอ ลดความเสี่ยงของการเกิดความผิดปกติของเซลล์
- สารสกัดจากแปะก๊วย นอกจากช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดแล้ว ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย และลดการอักเสบเรื้อรังที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งลำไส้
- สารสกัดจากงาดำ เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี แร่ธาตุ และไฟเบอร์ที่สำคัญ ไฟเบอร์ช่วยในการขับถ่าย ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ ขณะที่สารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย
- ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่ อุดมด้วยสารโพลีฟีนอล โดยเฉพาะแอนโธไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบสูง งานวิจัยพบว่าสารสกัดจากแครนเบอร์รี่มีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งลำไส้ และ
- อินูลิน พรีไบโอติก เป็นเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ ทำหน้าที่เป็นอาหารให้แบคทีเรียที่ดีในลำไส้ การมีจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ และสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการเกิดมะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยในการขับถ่าย ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์นี้ มีวิธีการทานที่ได้ง่ายและได้ประโยชน์เพื่อส่งเสริมสุขภาพให้กับคุณผู้ชายวัยทอง และคุณผู้หญิงวัยทอง เพียงทานง่ายๆ ครั้งละ 1 แคปซูล พร้อมกับมื้ออาหารใดก็ได้ที่คุณสะดวก และดื่มน้ำตาม
โดยคุณผู้อ่านสามารถมั่นใจ และไว้วางใจในผลิตภัณฑ์นี้ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์นี้ได้ขึ้นทะเบียนรับรองอย่างถูกต้องจาก อย. รวมถึงมีวิธีการทำที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงผ่านมาตรฐานฮาลาลอีกด้วย
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
- เนื้อแดงและเนื้อแปรรูป เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไส้กรอก แฮม เบคอน เป็นอาหารที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ เนื่องจากในกระบวนการย่อยเนื้อแดงจะเกิดสารประกอบ N-nitroso และ heterocyclic amines ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้เนื้อแปรรูปยังมีสารไนไตรท์และเกลือในปริมาณสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้
- อาหารรสจัด เค็มจัด เช่น อาหารหมักดอง อาหารเค็ม น้ำปลา ซีอิ๊ว เกลือ ซอสปรุงรสต่างๆ การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัดเป็นประจำจะทำให้เยื่อบุลำไส้ระคายเคือง และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจนำไปสู่การกลายพันธุ์ของเซลล์และกลายเป็นมะเร็งได้
- อาหารไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวจากสัตว์ เช่น หนังไก่ มันหมู ครีม เนย ชีส การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงจะกระตุ้นการหลั่งน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ซึ่งน้ำดีสามารถถูกแบคทีเรียในลำไส้เปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งได้ นอกจากนี้ไขมันยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งลำไส้
- อาหารปิ้งย่างที่ไหม้เกรียม เมื่ออาหารโดยเฉพาะเนื้อสัตว์ถูกปิ้งย่างจนไหม้ จะเกิดสารพิษหลายชนิด เช่น PAHs (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons) และ HCAs (Heterocyclic Amines) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่อันตราย สารเหล่านี้สามารถทำลาย DNA ของเซลล์และนำไปสู่การเกิดมะเร็งได้
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะรบกวนการทำงานของลำไส้ ทำให้การดูดซึมสารอาหารผิดปกติ และยังทำลายเยื่อบุลำไส้โดยตรง นอกจากนี้แอลกอฮอล์ยังถูกเปลี่ยนเป็นสารอะเซตัลดีไฮด์ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และยังรบกวนการทำงานของตับในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
2. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ยังคงเน้นย้ำให้วัยทองทุกคนสม่ำเสมอว่า “การออกกำลังกาย” มีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็งลำไส้ผ่านหลายกลไก เมื่อเราออกกำลังกาย ร่างกายจะมีการเคลื่อนไหวที่ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้อาหารเคลื่อนที่ผ่านระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้น ซึ่งช่วยลดเวลาที่สารก่อมะเร็งสัมผัสกับผนังลำไส้
นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยควบคุมน้ำหนักและลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งลำไส้ ผ่านรูปแบบการออกกำลังกาย ดังนี้
- การเดินเร็ววันละ 30 – 45 นาที
เป็นการออกกำลังกายที่วัยทองนั้นสามารถทำได้ง่าย ทำได้ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ การเดินช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด เพิ่มออกซิเจนให้เซลล์ และกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย ควรเดินในจังหวะที่หายใจเร็วขึ้นแต่ยังพูดคุยได้
- การว่ายน้ำเบาๆ
เป็นการออกกำลังกายแบบแรงกระแทกต่ำที่เหมาะกับวัยทอง ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย โดยไม่สร้างแรงกดดันมากเกินไปต่อข้อต่อ การว่ายน้ำ 20 – 30 นาทีต่อครั้ง 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพได้ดี
- โยคะหรือการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกายด้วยการโยคะหรือยืดเหยียดกล้ามเนื้อ จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ผ่อนคลายความเครียด และกระตุ้นการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อให้กับวัยทอง นอกจากนี้การฝึกโยคะยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดในช่องท้องซึ่งส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย
- การรำไทเก๊ก
เป็นการออกกำลังกายที่ผสมผสานการเคลื่อนไหวช้าๆ การหายใจ และสมาธิ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่วัยทองหลายท่านให้ความสนใจ เพราะช่วยเพิ่มการทรงตัว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และลดความเครียด ซึ่งมีผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน
- การปั่นจักรยานความเร็วต่ำถึงปานกลาง
วัยทองท่านใดที่ชอบการออกกำลังกายแบบสนุกสนาน การปั่นจักรยานเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับการออกกำลังกายแบบแรงกระแทกต่ำ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจและปอด กระตุ้นการเผาผลาญ และการไหลเวียนเลือด ควรปั่นจักรยาน 20 – 30 นาทีต่อครั้ง 3 – 4 ครั้งต่อสัปดาห์
และเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด วัยทองควรเลือกกิจกรรมที่ชื่นชอบและทำได้อย่างสม่ำเสมอ เริ่มต้นจากระดับเบาก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้น และควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายใหม่ โดยเฉพาะถ้ามีโรคประจำตัวหรือข้อจำกัดทางร่างกาย
ความถี่และระยะเวลา
- ออกกำลังกาย 150 นาทีต่อสัปดาห์
- แบ่งเป็น 3-5 วันต่อสัปดาห์
- เริ่มต้นจากเบาๆ และค่อยๆ เพิ่มความหนัก
- พักสลับวันเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู
3. การจัดการความเครียด
คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า? ความเครียดเรื้อรังส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายระดับ เมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอลในปริมาณสูง ซึ่งกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายวัยทองยิ่งอ่อนแอลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
นอกจากนี้ ความเครียดยังรบกวนการทำงานของระบบประสาทในลำไส้ ส่งผลให้การย่อยและการขับถ่ายผิดปกติ ดังนั้น มาดูวิธีจัดการความเครียดแต่ละวิธีอย่างละเอียดที่เรานำมาฝากกัน
- การฝึกหายใจอย่างถูกวิธี
เป็นเทคนิคพื้นฐานที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด โดยวัยทองสามารถทำได้ด้วยการหายใจลึกๆ ช้าๆ ช่วยกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ลดการหลั่งฮอร์โมนความเครียด วิธีที่แนะนำคือ หายใจเข้าลึกๆ นับ 1 – 4 กลั้นหายใจนับ 1 – 2 แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ นับ 1 – 6 ทำซ้ำไปอีก 5 – 10 รอบ
- การทำสมาธิ
การที่วัยทองนั่งทำสมาธิจะช่วยฝึกจิตใจให้จดจ่อกับปัจจุบัน ลดความวิตกกังวล และความเครียด การนั่งสมาธิเพียง 10 – 15 นาทีต่อวัน สามารถช่วยลดระดับคอร์ติซอลในเลือด เพิ่มภูมิต้านทาน และปรับสมดุลการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ
- การฟังเพลงผ่อนคลาย
ดนตรีมีผลต่อคลื่นสมองและการทำงานของระบบประสาท เสียงดนตรีที่มีจังหวะช้า เช่น ดนตรีคลาสสิก หรือเสียงธรรมชาติ จะช่วยลดความถี่คลื่นสมอง ทำให้ร่างกายของวัยทองรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย และหลับสบายขึ้น
- การทำงานอดิเรก
หันมาทำกิจกรรมที่วัยทองชื่นชอบจะกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ช่วยต้านความเครียดและซึมเศร้า การทำงานอดิเรกยังช่วยให้จิตใจจดจ่อกับสิ่งที่สร้างสรรค์ แทนที่จะวนเวียนอยู่กับความกังวล
- การพูดคุยกับเพื่อนหรือครอบครัว
การที่วัยทองได้ระบายความรู้สึก แบ่งปันประสบการณ์ และรับฟังคำแนะนำจากคนใกล้ชิด ช่วยลดความตึงเครียดทางอารมณ์ การมีเครือข่ายสังคมที่ดียังช่วยเพิ่มความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ ช่วยให้คุณห่างไกลจากภาวะซึมเศร้าในวัยทองอีกด้วย 07: 01/68
4. การตรวจคัดกรองที่จำเป็น
การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีวิธีการตรวจ ดังนี้
การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้เบื้องต้น
- ตรวจหาเลือดในอุจจาระ (FIT test) ทุก 1 ปี
- ตรวจอุจจาระด้วยวิธี FIT-DNA test ทุก 3 ปี
- การตรวจด้วยรังสีเอกซเรย์แบบ CT Colonography ทุก 5 ปี
การส่องกล้องตรวจหามะเร็งในลำไส้
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Sigmoidoscopy) ทุก 5 ปี
- การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมด (Colonoscopy) ทุก 10 ปี
สรุป
การป้องกันมะเร็งลำไส้ในวัยทองไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ หากคุณผู้อ่านได้ทำความเข้าใจและนำแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้องไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการตรวจสุขภาพตามกำหนด
เชื่อว่าหากคุณผู้อ่านทุกคนและวัยทองทุกท่านปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักว่า การป้องกันดีกว่าการรักษา การสังเกตความผิดปกติของร่างกายและการพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองตามกำหนดเวลาจะช่วยให้สามารถตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้สูง