คุณผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านเรื่องราวนี้ คงจะทราบกันดีแล้วว่า “วัยทอง” เป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิตที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและฮอร์โมนอย่างมาก
สำหรับผู้หญิง “วัยทอง” หมายถึง ช่วงหมดประจำเดือนและการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนผู้ชายก็เผชิญกับภาวะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลงช้าๆ ที่เรียกว่า “แอนโดรพอส” หรือวัยทองในผู้ชาย 05:12/67
ในช่วงวัยทอง…ร่างกายของคุณผู้อ่านจะต้องเผชิญกด้านสุขภาพหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความหนาแน่นของมวลกระดูกที่ลดลง ระบบเผาผลาญที่ช้าลง มวลกล้ามเนื้อที่ลดลง แนวโน้มการสะสมไขมันที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ และความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคกระดูกพรุน และภาวะสมองเสื่อม เป็นต้น
และด้วยความตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพเหล่านี้ ทำให้วัยทองจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสนใจกับการดูแลสุขภาพและการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการรับประทานวิตามินเสริม ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและเข้าถึงได้ง่าย แต่ในท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์วิตามินเสริมมากมายที่เจาะจงเพื่อผู้สูงอายุและคนวัยทอง โดยอ้างสรรพคุณว่าช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ของวัยทอง ชะลอความเสื่อมของร่างกาย และยืดอายุ แต่สิ่งที่หลายท่านอาจไม่ตระหนัก คือ การรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเสริมที่มากเกินความจำเป็นของร่างกายนั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นการสิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุ แต่ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้อีกด้วย
ความสำคัญของวิตามินในวัยทอง
“วิตามิน” เป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการเพื่อการทำงานอย่างปกติและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงวัยทองที่ร่างกายความต้องการวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดอาจเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความสามารถในการดูดซึมสารอาหารของร่างกายกลับลดลง วิตามินและแร่ธาตุจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยร่างกายวัยทอง…
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินซี วิตามินดี และสังกะสี มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายวัยทอง ช่วยป้องกันการติดเชื้อและโรคภัยไข้เจ็บในวัยที่ระบบภูมิคุ้มกันอาจไม่แข็งแรงเท่าเดิม
- ต่อต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ วิตามินอี วิตามินซี และซีลีเนียม เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความเสื่อมและโรคเรื้อรังต่างๆ ของร่างกายวัยทอง
- รักษาสุขภาพกระดูก วิตามินดี แคลเซียม และแมกนีเซียม มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษามวลกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญในวัยทองโดยเฉพาะผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน
- รักษาสุขภาพสมองและระบบประสาท วิตามินบี โดยเฉพาะ B6, B9 (โฟเลต) และ B12 มีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบประสาทและสมอง ช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อมและปัญหาความจำในวัยทอง
- สนับสนุนระบบหัวใจและหลอดเลือด วิตามินอี โฟเลต และโพแทสเซียมช่วยรักษาสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ในวัยทองและผู้สูงอายุ
- ช่วยบรรเทาอาการวัยทอง วิตามินและแร่ธาตุบางชนิด เช่น วิตามินอี และไฟโตเอสโตรเจนอาจช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน และอาการอื่นๆ ของวัยทองได้
- สนับสนุนการเผาผลาญพลังงาน วิตามินบีคอมเพล็กซ์ มีบทบาทสำคัญในการแปลงอาหารให้เป็นพลังงาน ช่วยให้ร่างกายยังคงกระฉับกระเฉงแม้ในวัยทองที่เมแทบอลิซึมเริ่มช้าลง
ทำไมคนวัยทองจึงนิยมรับประทานวิตามินเสริม
1. การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในวัยทอง
เมื่อเข้าสู่วัยทอง ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายประการที่ส่งผลต่อความต้องการสารอาหาร…
- การลดลงของฮอร์โมนเพศ ในผู้หญิง ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน ขณะที่ผู้ชายมีระดับเทสโทสเตอโรนลดลงส่งผลต่อมวลกล้ามเนื้อและพลังงาน
- การดูดซึมสารอาหารที่ลดลง วัยทองมักมีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารลดลง ทำให้การดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด โดยเฉพาะวิตามินบี12 แคลเซียม และธาตุเหล็กมีประสิทธิภาพลดลง
- การเปลี่ยนแปลงของระบบเผาผลาญ วัยทองมีอัตราเมแทบอลิซึมที่ช้าลง ทำให้ร่างกายต้องการพลังงานน้อยลง แต่ความต้องการวิตามินและแร่ธาตุยังคงเท่าเดิมหรืออาจเพิ่มขึ้น
- ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง วัยทองมีภูมิคุ้มกันที่ถดถอยตามวัยทำให้มีความต้องการสารอาหารที่เสริมสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้น
2. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหาร
คนวัยทองมักมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ส่งผลต่อการได้รับสารอาหาร…
- ปริมาณอาหารที่ลดลง วัยทองมีความต้องการพลังงานที่ลดลงทำให้รับประทานอาหารน้อยลง ส่งผลให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุไม่เพียงพอ
- ความอยากอาหารที่เปลี่ยนแปลง วัยทองมีการเปลี่ยนแปลงของประสาทรับรสและกลิ่นทำให้ความอยากอาหารลดลงหรือเปลี่ยนไป
- ข้อจำกัดในการเคี้ยวและกลืน วัยทองมีปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันทำให้หลีกเลี่ยงอาหารบางประเภทที่เคี้ยวยาก เช่น ผักและผลไม้สด ซึ่งเป็นแหล่งวิตามินที่สำคัญ
- การอยู่อาศัยคนเดียว วัยทองหรือผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวอาจขาดแรงจูงใจในการประกอบอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน
3. ความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและการป้องกันโรค
ความตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นตามวัย ทำให้วัยทองหลายคนมองหาวิธีป้องกันและชะลอความเสื่อม…
- ความกลัวต่อโรคเรื้อรัง วัยทองมีความกังวลเกี่ยวกับโรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง และภาวะสมองเสื่อม ทำให้หันมาพึ่งวิตามินเสริมที่อ้างว่าช่วยป้องกันโรคเหล่านี้
- ความต้องการที่จะชะลอวัย วัยทองมีความปรารถนาที่จะชะลอวัยและยืดอายุทำให้มองหาผลิตภัณฑ์ที่อ้างถึงคุณสมบัติต้านความชรา
- การจัดการกับอาการวัยทอง วัยทองมีความต้องการบรรเทาอาการของวัยทอง เช่น อาการร้อนวูบวาบ 01:11/68 นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน ทำให้วัยทองหลายคนทดลองใช้วิตามินและสารเสริมต่างๆ
4. ความสะดวกและง่ายต่อการเข้าถึง
วิตามินเสริม เป็นทางเลือกของวัยทองที่สะดวกและง่ายกว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร…
- ความง่ายในการบริโภค การรับประทานวิตามิน เป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วกว่าการวางแผนและเตรียมอาหารที่มีโภชนาการครบถ้วนที่วัยทองหลายท่านมีความเห็นตรงกัน
- การเข้าถึงที่ง่ายขึ้น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีจำหน่ายทั่วไปในร้านขายยา ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าออนไลน์ โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์
- ราคาที่จับต้องได้ เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย วิตามินเสริมดูเหมือนเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่วัยทองมองว่าคุ้มค่า
แม้ว่าเหตุผลเหล่านี้จะทำให้การรับประทานวิตามินเสริมของวัยทองดูเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล แต่คำถามสำคัญ คือ “วิตามินเสริมเหล่านี้จำเป็นจริงหรือไม่?” และ “มีความเสี่ยงอะไรบ้างจากการรับประทานวิตามินเกินขนาด?” เราไปลองหาคำตอบไปพร้อมกันในหัวข้อถัดไป…
วิตามินที่จำเป็นสำหรับวัยทอง
ช่วง “วัยทอง” เป็นช่วงที่ร่างกายต้องการวิตามินบางชนิดในปริมาณที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย ลองมาดูกันว่าวิตามินที่ร่างกายของวัยทองต้องการนั้น มีอะไรบ้าง?
1. วิตามินดี (Vitamin D)
วิตามินดี เป็นหนึ่งในวิตามินที่สำคัญที่สุดสำหรับวัยทอง เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่จำเป็นสำหรับสุขภาพกระดูก ในวัยทองที่ความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน
นอกจากนี้วิตามินดี…ยังมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การลดการอักเสบ และการป้องกันโรคเรื้อรังหลายชนิด
ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้สูงอายุ 51-70 ปี 600 – 800 IU (15 – 20 ไมโครกรัม) ต่อวัน
- ผู้สูงอายุมากกว่า 70 ปี 800 – 1,000 IU (20 – 25 ไมโครกรัม) ต่อวัน
2. วิตามินบี คอมเพล็กซ์ (Vitamin B Complex)
วิตามินบีคอมเพล็กซ์ ประกอบด้วยวิตามินบีหลายชนิด (B1, B2, B3, B5, B6, B7, B9, B12) ซึ่งมีความสำคัญต่อการเผาผลาญพลังงาน การทำงานของระบบประสาท การสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และการรักษาสุขภาพของผิวหนัง ตา และผม ในวัยทอง
โดยเฉพาะวิตามินบี 12 (โคบาลามิน) บี 6 (ไพริดอกซิน) และบี 9 (โฟเลต) มีความสำคัญเป็นพิเศษเนื่องจากมีบทบาทในการป้องกันภาวะโลหิตจาง สนับสนุนการทำงานของระบบประสาท และลดระดับโฮโมซิสเตอีนซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
ปริมาณที่แนะนำ
- วิตามินบี 6 1.5 – 1.7 มิลลิกรัมต่อวัน
- วิตามินบี 9 (โฟเลต) 400 ไมโครกรัมต่อวัน
- วิตามินบี 12 2.4 ไมโครกรัมต่อวัน
3. วิตามินซี (Vitamin C)
วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความชรา
นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน สนับสนุนการสร้างคอลลาเจนซึ่งสำคัญต่อสุขภาพผิวและข้อต่อ และช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก ในวัยทองที่ผิวหนังเริ่มเหี่ยวย่นและระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง วิตามินซีจึงมีความสำคัญเป็นพิเศษ
ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้ชายวัย 51 ปีขึ้นไป 90 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้หญิงวัย 51 ปีขึ้นไป 75 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้สูบบุหรี่ ควรเพิ่มอีก 35 มิลลิกรัมต่อวัน
4. วิตามินอี (Vitamin E)
วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และมีบทบาทในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
ในวัยทอง…วิตามินอีอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้ นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการบรรเทาอาการร้อนวูบวาบในผู้หญิงวัยทอง
ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้ใหญ่ทั่วไป 15 มิลลิกรัม (22.5 IU) ต่อวัน
5. วิตามินเค (Vitamin K)
วิตามินเค มีบทบาทสำคัญในการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพกระดูก โดยช่วยในการสร้างโปรตีนที่จำเป็นสำหรับการสร้างกระดูกและการแข็งตัวของเลือด
ในวัยทองวิตามินเคมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเนื่องจากช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนและกระดูกหัก โดยการช่วยให้แคลเซียมเข้าไปสะสมในกระดูกแทนที่จะไปสะสมในหลอดเลือด
ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้ชาย 120 ไมโครกรัมต่อวัน
- ผู้หญิง 90 ไมโครกรัมต่อวัน
6. วิตามินเอ (Vitamin A)
วิตามินเอ มีบทบาทสำคัญในการมองเห็น การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การเจริญเติบโตของเซลล์ และสุขภาพผิวหนัง
ในวัยทองวิตามินเอช่วยรักษาการมองเห็นที่ดี ซึ่งมักเสื่อมลงตามอายุ และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้ชาย 900 ไมโครกรัม RAE (Retinol Activity Equivalents) ต่อวัน
- ผู้หญิง 700 ไมโครกรัม RAE ต่อวัน
แร่ธาตุที่สำคัญสำหรับวัยทอง
นอกจากวิตามินแล้ว…แร่ธาตุที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันก็มีความสำคัญไม่แพ้กันสำหรับผู้สูงอายุในวัยทอง โดยเฉพาะแร่ธาตุที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพกระดูก ระบบประสาท และกล้ามเนื้อ
1. แคลเซียม (Calcium)
แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่สำคัญที่สุดสำหรับสุขภาพกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบประสาท การแข็งตัวของเลือด และการทำงานของหัวใจ
ในวัยทองโดยเฉพาะในผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้มีการสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็ว การได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนและกระดูกหัก
ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้ชายอายุ 51 – 70 ปี 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้ชายอายุมากกว่า 70 ปี 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปี 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน
2. แมกนีเซียม (Magnesium)
แมกนีเซียม มีบทบาทสำคัญในการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การควบคุมความดันโลหิต และการสร้างโปรตีนและ DNA
ในวัยทองแมกนีเซียมช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคกระดูกพรุน และยังอาจช่วยลดอาการนอนไม่หลับและภาวะซึมเศร้าซึ่งพบบ่อยในวัยนี้
ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้ชายอายุ 51 ปีขึ้นไป 420 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้หญิงอายุ 51 ปีขึ้นไป 320 มิลลิกรัมต่อวัน
3. เหล็ก (Iron)
เหล็ก เป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการสร้างพลังงาน การสร้างฮอร์โมน และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ในวัยทองความต้องการเหล็กของผู้หญิงลดลงหลังหมดประจำเดือน แต่ผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจางจากการขาดเหล็ก เนื่องจากการดูดซึมที่ลดลงหรือการสูญเสียเลือดจากปัญหาในระบบทางเดินอาหาร
ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้ชายอายุ 51 ปีขึ้นไป 8 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้หญิงอายุ 51 ปีขึ้นไป (หลังหมดประจำเดือน) 8 มิลลิกรัมต่อวัน
4. สังกะสี (Zinc)
สังกะสี มีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การสร้าง DNA และโปรตีน การรักษาบาดแผล การรับรสและกลิ่น และการเจริญเติบโตและพัฒนาการ
ในวัยทอง…สังกะสีมีความสำคัญในการรักษาระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง การรักษาสุขภาพผิวหนัง และการรักษาประสาทรับรสและกลิ่น ซึ่งมักเสื่อมลงตามอายุ
ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้ชายอายุ 51 ปีขึ้นไป 11 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้หญิงอายุ 51 ปีขึ้นไป 8 มิลลิกรัมต่อวัน
5. ซีลีเนียม (Selenium)
ซีลีเนียม เป็นแร่ธาตุที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ และสุขภาพเซลล์สืบพันธุ์
ในวัยทอง…ซีลีเนียมอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งบางชนิด และความเสื่อมของระบบประสาท
ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้ใหญ่อายุ 19 ปีขึ้นไป 55 ไมโครกรัมต่อวัน
อันตรายจากการรับประทานวิตามินเกินขนาด
อย่างที่เราเกริ่นให้คุณผู้อ่านทุกท่านทราบตั้งแต่ทีแรกว่า…แม้ว่าวิตามินและแร่ธาตุจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หลักการสำคัญคือ “ของทุกอย่างถ้ามากเกินไปก็เป็นพิษ”
การรับประทานวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณที่สูงเกินความต้องการของร่างกายเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ผลข้างเคียงที่รุนแรงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าที่คุณคิด…
ผลข้างเคียงของวิตามินที่ละลายในไขมัน
วิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี และเค มีความเสี่ยงสูงกว่าในการสะสมในร่างกายจนถึงระดับที่เป็นพิษ เนื่องจากร่างกายเก็บสะสมส่วนเกินไว้ในตับและเนื้อเยื่อไขมัน ไม่สามารถขับออกได้ง่ายเหมือนวิตามินที่ละลายในน้ำ
1. วิตามินเอเกินขนาด
วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ร่างกายจะเก็บสะสมส่วนเกินไว้ในตับ การที่วัยทองได้รับวิตามินเอในรูปเรทินอลในปริมาณสูง (มากกว่า 3,000 ไมโครกรัม RAE หรือ 10,000 IU ต่อวัน) เป็นเวลานานอาจนำไปสู่ภาวะพิษเรื้อรัง
- อาการระยะสั้น: ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ มองภาพซ้อน ผิวแห้งและลอก
- อาการระยะยาว: ตับถูกทำลาย กระดูกเปราะ ผมร่วง เยื่อบุผิวแห้ง แผลที่กระจกตา และความผิดปกติของระบบประสาท
- ความเสี่ยงในผู้สูงอายุ: ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการสะสมวิตามินเอเ นื่องจากตับทำงานลดลง และอาจส่งผลให้กระดูกเปราะและแตกง่ายขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในวัยทอง
สิ่งสำคัญที่ต้องทราบ คือ การได้รับวิตามินเอในรูปของเบต้าแคโรทีนจากผักและผลไม้มักไม่ก่อให้เกิดภาวะเป็นพิษ เนื่องจากร่างกายจะควบคุมการเปลี่ยนเบต้าแคโรทีนเป็นวิตามินเอตามความต้องการ
2. วิตามินดีเกินขนาด
หากวัยทองได้รับวิตามินดีมากเกินไป (มากกว่า 4,000 IU หรือ 100 ไมโครกรัมต่อวัน) เป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (hypercalcemia) ซึ่งมีอาการดังนี้
- อาการ: ระดับแคลเซียมในเลือดสูง (hypercalcemia) ซึ่งทำให้วัยทองเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย สับสน ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมาก
- ผลระยะยาว: นิ่วในไต แคลเซียมสะสมในเนื้อเยื่ออ่อน (เช่น หัวใจ ปอด ไต) ทำให้อวัยวะเหล่านี้ทำงานบกพร่อง
- ความเสี่ยงในผู้สูงอายุ: ผู้สูงอายุที่รับประทานยาลดกรดหรือยารักษาโรคกระดูกพรุนร่วมกับวิตามินดีเสริมในขนาดสูงมีความเสี่ยงมากขึ้น
ในผู้สูงอายุวัยทองการมีระดับแคลเซียมในเลือดสูงอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อการทำงานของไตและหัวใจ ซึ่งมักมีความเสื่อมถอยตามอายุอยู่แล้ว
3. วิตามินอีเกินขนาด
การได้รับวิตามินอีในรูปแบบเสริมอาหารในปริมาณสูง (มากกว่า 1,000 มิลลิกรัมหรือ 1,500 IU ต่อวัน) อาจก่อให้เกิดปัญหา…
- อาการ: เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกง่าย โดยเฉพาะในวัยทองผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ผลระยะยาว: เพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองชนิดเลือดออกในสมองและอาจลดประสิทธิภาพของการรักษาด้วยยาบางชนิด
- ความเสี่ยงในผู้สูงอายุ: ผู้สูงอายุมักมีปัญหาการแข็งตัวของเลือดอยู่แล้ว และหลายคนรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดหรือยาต้านเกล็ดเลือด การได้รับวิตามินอีเกินขนาดจึงเพิ่มความเสี่ยงของภาวะเลือดออกอย่างมาก
ผลข้างเคียงของวิตามินที่ละลายในน้ำ
วิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินบีคอมเพล็กซ์และวิตามินซี มีความเสี่ยงน้อยกว่าในการสะสมจนถึงระดับที่เป็นพิษ เนื่องจากร่างกายสามารถขับส่วนเกินออกทางปัสสาวะได้ อย่างไรก็ตาม การได้รับในปริมาณสูงมากเป็นเวลานานก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
1. วิตามินบี6 เกินขนาด
หากวัยทองการได้รับในปริมาณสูง (มากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อวัน) เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดความเสียในร่างกาย…
- อาการ: วัยทองอาจมีอาการชาและรู้สึกเสียวแปลบตามแขนขา ความรู้สึกแปลบหรือไหม้ที่ผิวหนัง
- ผลระยะยาว: ความเสียหายต่อเส้นประสาทส่วนปลาย ซึ่งวัยทองอาจเป็นถาวรแม้หยุดรับประทานวิตามินเสริม
- ความเสี่ยงในผู้สูงอายุ: ผู้สูงอายุมักมีความเสื่อมของระบบประสาทตามวัยอยู่แล้ว การได้รับวิตามินบี6 เกินขนาดอาจเร่งหรือเพิ่มความรุนแรงของอาการ
2. วิตามินบี3 (ไนอาซิน) เกินขนาด
- อาการ: วัยทองอาจมีอาการหน้าแดง ผิวร้อนวูบวาบ คัน คลื่นไส้ อาเจียน หากการได้รับในปริมาณสูง (มากกว่า 35 มิลลิกรัมต่อวัน)
- ผลระยะยาว: ความเสียหายต่อตับ ระดับน้ำตาลในเลือดสูง กรดยูริกในเลือดสูง (อาจกระตุ้นอาการโรคเกาต์)
- ความเสี่ยงในผู้สูงอายุ: ผู้สูงอายุมักมีการทำงานของตับลดลงและมีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานและโรคเกาต์มากขึ้น การได้รับไนอาซินเกินขนาดจึงอาจกระตุ้นหรือทำให้โรคเหล่านี้รุนแรงขึ้น
4. วิตามินซีเกินขนาด
การได้รับวิตามินซีในปริมาณสูงเกินไป (มากกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน) อาจทำให้เกิดอาการดังนี้
- อาการ: ท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ
- ผลระยะยาว: เพิ่มความเสี่ยงของนิ่วในไต โดยเฉพาะในวัยทองผู้ที่มีประวัติเป็นนิ่วในไต อาจรบกวนผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการบางอย่าง
- ความเสี่ยงในผู้สูงอายุ: ผู้สูงอายุมักมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิดนิ่วในไตและมีปัญหาระบบทางเดินอาหารอยู่แล้ว การได้รับวิตามินซีเกินขนาดอาจทำให้ปัญหาเหล่านี้รุนแรงขึ้น
ผลข้างเคียงของแร่ธาตุเกินขนาด
นอกจากวิตามินที่ทานเยอะแล้วอาจเกิดปัญหาที่ตามมาต่อร่างกายแล้ว แร่ธาตุก็เช่นเดียวกับวิตามิน การได้รับในปริมาณสูงเกินความต้องการของร่างกายของวัยทอง ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้
1. แคลเซียมเกินขนาด (มากกว่า 2,000 – 2,500 มิลลิกรัมต่อวัน)
- อาการ: วัยทองอาจท้องผูก อาการทางระบบทางเดินอาหาร ปวดกล้ามเนื้อและกระดูก อ่อนเพลีย
- ผลระยะยาว: นิ่วในไต แคลเซียมสะสมในหลอดเลือด (เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด) รบกวนการดูดซึมธาตุเหล็กและสังกะสี
- ความเสี่ยงในผู้สูงอายุ: ผู้สูงอายุมักมีการทำงานของไตลดลง ทำให้มีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิดนิ่วในไตและภาวะแคลเซียมในเลือดสูง
ในวัยทองและผู้สูงอายุที่มีการทำงานของไตลดลงตามอายุ การได้รับแคลเซียมมากเกินไปเป็นความเสี่ยงที่ควรระวังเป็นพิเศษ
2. เหล็กเกินขนาด (มากกว่า 45 มิลลิกรัมต่อวัน)
- อาการ: วัยทองอาจท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
- ผลระยะยาว: การสะสมของเหล็กในอวัยวะสำคัญ (เช่น ตับ หัวใจ ตับอ่อน) ทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะเหล่านั้น อาจนำไปสู่โรคตับแข็ง เบาหวาน และโรคหัวใจ
- ความเสี่ยงในผู้สูงอายุ: ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการสะสมเหล็ก เนื่องจากการทำงานของตับลดลง โดยเฉพาะผู้ที่มีพันธุกรรมของโรคฮีโมโครมาโทซิส (hemochromatosis)
ในผู้สูงอายุและวัยทองความต้องการเหล็กลดลงโดยเฉพาะในผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมเหล็กโดยไม่จำเป็นจึงอาจเพิ่มความเสี่ยงของการสะสมเหล็กในร่างกาย
3. สังกะสีเกินขนาด (มากกว่า 40 มิลลิกรัมต่อวัน)
- อาการ: วัยทองอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดศีรษะ
- ผลระยะยาว: รบกวนการดูดซึมทองแดง ลดระดับไขมันดี (HDL) เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ กดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
- ความเสี่ยงในผู้สูงอายุ: ผู้สูงอายุที่มีระดับไขมันในเลือดผิดปกติหรือมีปัญหาโรคหัวใจอยู่แล้ว อาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการได้รับสังกะสีเกินขนาด
4. แมกนีเซียม (Magnesium)
การได้รับแมกนีเซียมจากอาหารไม่มีความเสี่ยงต่อการได้รับมากเกินไป แต่การได้รับจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือยาในปริมาณสูง (มากกว่า 350 มิลลิกรัมต่อวัน) อาจทำให้เกิดปัญหา ดังนี้
- ท้องเสีย คลื่นไส้ ปวดท้อง (อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นแม้ในปริมาณต่ำกว่านี้)
- ภาวะแมกนีเซียมในเลือดสูง (hypermagnesemia) โดยเฉพาะในผู้ที่มีการทำงานของไตบกพร่อง
- กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
- ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ และในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้น
5. ซีลีเนียม (Selenium)
เมื่อวัยทองได้รับซีลีเนียมในปริมาณสูงเกินไป (มากกว่า 400 ไมโครกรัมต่อวัน) เป็นเวลานานอาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า selenosis มีลักษณะอาการ ดังนี้…
- คลื่นไส้ ท้องเสีย
- ผมร่วง เล็บเปราะและมีรอยขาว
- ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายกระเทียม
- อ่อนเพลีย หงุดหงิด
- ระบบประสาทถูกทำลาย
- ในกรณีรุนแรงอาจส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ
เชื่อว่าหลังจากได้อ่านมาถึงจุดนี้แล้ว คุณผู้อ่านน่าจะเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับการรับประทานวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม “มากเกินไป” ไม่ได้หมายถึง “ดีกว่า” เสมอไป การรับประทานวิตามินและแร่ธาตุเกินขนาดสามารถนำไปสู่ผลข้างเคียงที่รุนแรงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
ดังนั้น การรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมตามความต้องการของร่างกายของวัยทอง และคำแนะนำของแพทย์จึงเป็นแนวทางที่ปลอดภัยและให้ประโยชน์สูงสุด
วิตามิน…ทานอย่างไร? ให้ปลอดภัยต่อวัยทอง
1. ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการก่อนเริ่มรับประทานวิตามินเสริม
การปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนเริ่มรับประทานวิตามินเสริมใดๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่วัยทองควรให้คำนึงถึง โดยเฉพาะในวัยทองที่อาจมีโรคประจำตัวหรือรับประทานยาประจำ การสอบถาม ปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญสามารถให้คำตอบที่ครบถ้วนและไม่ขัดขวางการทำงานของวิตามินที่ทานในแต่ละตัวนั่นเอง
- ประเมินสถานะสุขภาพและความต้องการทางโภชนาการเฉพาะบุคคล
- ตรวจวัดระดับวิตามินและแร่ธาตุในร่างกาย เพื่อระบุการขาดสารอาหารที่แท้จริง
- แนะนำชนิดและปริมาณวิตามินที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
- ตรวจสอบปฏิกิริยาระหว่างวิตามินเสริมกับยาที่ใช้อยู่
การตรวจทางการแพทย์ที่แนะนำ
- การตรวจระดับวิตามินดีในเลือด เนื่องจากการขาดวิตามินดีพบได้บ่อยในวัยทอง
- การตรวจมวลกระดูก เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนและความต้องการแคลเซียมและวิตามินดี
- การตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ เนื่องจากปัญหาไทรอยด์พบได้บ่อยในวัยทองและอาจส่งผลต่อการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุ
2. เน้นการได้รับวิตามินและแร่ธาตุจากอาหารเป็นหลัก
การได้รับวิตามินและแร่ธาตุจากอาหารธรรมชาติ มีข้อดีหลายประการเมื่อเทียบกับการรับประทานวิตามินเสริม
- วิตามินจากอาหาร มักถูกดูดซึมได้ดีกว่าวิตามินสังเคราะห์
- อาหารธรรมชาติ มีสารอาหารหลากหลายที่ทำงานร่วมกันอย่างสมดุล
- ลดความเสี่ยง จากการได้รับวิตามินเกินขนาด
- ได้รับสารอาหารอื่นๆ เช่น ใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ และไฟโตนิวเทรียนท์ที่ไม่มีในวิตามินเสริม
แผนอาหารสำหรับวัยทอง
- วัยทองควรรับประทานผักและผลไม้หลากสีให้ได้ 5 – 9 ส่วนต่อวัน
- เน้นโปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา ถั่ว เต้าหู้ สัตว์ปีกไม่ติดหนัง
- รับประทานธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลเวท
- เพิ่มการบริโภคอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต ปลาตัวเล็กที่รับประทานได้ทั้งก้าง
- รับประทานไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อโวคาโด ถั่ว และเมล็ดพืช
- ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ (8 – 10 แก้วต่อวัน) เพื่อช่วยในการดูดซึมและการขับถ่ายของเสีย
3. เลือกผลิตภัณฑ์วิตามินเสริมอย่างชาญฉลาด
หากวัยทองบางท่านมีความจำเป็นต้องรับประทานวิตามินเสริม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและความปลอดภัย
- เลือกยี่ห้อที่มีชื่อเสียงและได้รับการรับรองมาตรฐาน
- ตรวจสอบฉลากว่ามีการระบุส่วนประกอบครบถ้วนและชัดเจน
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อ้างสรรพคุณเกินจริงหรือดูเหมือนจะแก้ปัญหาสุขภาพได้ทุกอย่าง
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณวิตามินใกล้เคียงกับค่า RDI (Reference Daily Intake) ไม่สูงเกินไป
- ตรวจสอบวันหมดอายุและเก็บรักษาตามคำแนะนำบนฉลาก
ประเภทของวิตามินเสริมที่ควรพิจารณา
- วิตามินรวมสำหรับผู้สูงอายุ มักมีส่วนประกอบที่ปรับให้เหมาะสมกับวัยทอง เช่น แคลเซียมและวิตามินดีในปริมาณสูงขึ้น แต่เหล็กในปริมาณที่ลดลง
- วิตามินเฉพาะทาง เช่น แคลเซียมร่วมกับวิตามินดี สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน
- วิตามินจากธรรมชาติ บางคนอาจย่อยและดูดซึมได้ดีกว่าวิตามินสังเคราะห์ แต่มักมีราคาสูงกว่า
เชื่อว่าหลังจากที่คุณผู้อ่าน…ได้อ่านข้อ 3 จบแล้ว คงจะมีคำถามแน่นอนว่าแล้วควรเลือกผลิตภัณฑ์ไหนดีที่ตรงกับการแนะนำที่เรานำมาฝากคุณผู้อ่าน และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา วันนี้เรามีมาแนะนำให้คุณผู้อ่านทั้งหมด 2 ตัว เริ่มจากตัวแรกก่อนเลย…
ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับคุณผู้หญิงวัยทองโดยเฉพาะ เมื่อร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่ระดับเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อหลายระบบในร่างกาย ตั้งแต่สุขภาพกระดูก ระบบประสาท ผิวพรรณ จนถึงสุขภาพจิตและอารมณ์ “ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus)” ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทอง ด้วยส่วนผสมพิเศษจากสารสกัดธรรมชาติ 6 ชนิดที่ทำงานเสริมกันอย่างลงตัว
1. สารสกัดจากถั่วเหลือง
ถั่วเหลือง จากประเทศสเปนมีประโยชน์มากๆ ต่อผู้หญิงวัยทองเพราะอุดมไปด้วยไอโซฟลาโวน ซึ่งเป็นสารในกลุ่มไฟโตเอสโตรเจน ที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย แต่มีฤทธิ์อ่อนกว่า เหมาะสำหรับผู้หญิงวัยทองที่มีระดับเอสโตรเจนลดลง โดยช่วย…
- บรรเทาอาการร้อนวูบวาบ (Hot flashes) ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในวัยทอง
- ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน ซึ่งสอดคล้องกับความสำคัญของแคลเซียมและวิตามินดีที่กล่าวถึงในเอกสาร
- ช่วยปรับสมดุลระดับไขมันในเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในวัยทอง
2. สารสกัดจากตังกุย
ตังกุย เป็นสมุนไพรจีนที่ใช้มายาวนานในการรักษาปัญหาสุขภาพของผู้หญิง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน มีคุณสมบัติ…
- ช่วยบรรเทา อาการปวดประจำเดือนและอาการไม่สบายในช่วงวัยทอง
- เสริมการไหลเวียนของเลือด ซึ่งสำคัญมากในวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น
- มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมการทำงานของวิตามินซีและวิตามินอีตามที่กล่าวในเอกสาร เพื่อชะลอความเสื่อมของเซลล์
3. สารสกัดจากแปะก๊วย
แปะก๊วย หรือ Ginkgo biloba เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสมุนไพรที่ช่วยเสริมการทำงานของสมองและระบบหลอดเลือด โดยมีประโยชน์…
- เพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังสมอง ช่วยปรับปรุงความจำและสมาธิ ซึ่งอาจลดลงในช่วงวัยทอง
- มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เสริมการทำงานของวิตามินซีและวิตามินอี ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย
- ช่วยลดอาการวิงเวียนศีรษะ ซึ่งเป็นอาการที่อาจพบได้ในวัยทอง
- สนับสนุนการทำงานของระบบประสาท ซึ่งตรงกับความสำคัญของวิตามินบีคอมเพล็กซ์ที่ได้กล่าวถึงในเอกสาร
4. สารสกัดจากงาดำ
งาดำ เป็นแหล่งสำคัญของแร่ธาตุหลายชนิดที่จำเป็นสำหรับวัยทอง…
- แคลเซียม ช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูก ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน
- แมกนีเซียม ช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท ตามที่กล่าวในเอกสาร
- สังกะสี เสริมระบบภูมิคุ้มกันและการรักษาบาดแผล
- วิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ
นอกจากนี้ งาดำยังอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลดี (HDL)
5. ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่
แครนเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุวัยทอง มีสารอาหารที่สำคัญประกอบด้วย…
- อุดมด้วยวิตามินซี ซึ่งตามเอกสารมีความสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและการสร้างคอลลาเจนเพื่อสุขภาพผิวและข้อต่อที่ดี
- มีสารต้านอักเสบและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังหลายชนิดที่พบบ่อยในวัยทอง
- ช่วยป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้หญิงวัยทอง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน
- ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในวัยทอง โดยเฉพาะในผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน
6. อินูลิน พรีไบโอติก
อินูลินเป็นเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ที่ทำหน้าที่เป็นพรีไบโอติก (อาหารของจุลินทรีย์ดีในลำไส้) มีประโยชน์สำคัญสำหรับวัยทอง…
- ส่งเสริมสุขภาพระบบทางเดินอาหาร ช่วยป้องกันอาการท้องผูก ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยทอง
- เพิ่มการดูดซึมแคลเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในการป้องกันโรคกระดูกพรุนตามที่กล่าวในเอกสาร
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2 ซึ่งพบบ่อยในวัยทอง
- สนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน ผ่านการเสริมสร้างจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
และผลิตภัณฑ์ตัวที่ 2 กับ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของร่างกายในช่วงวัยทองของผู้ชาย โดยส่วนประกอบแต่ละชนิดมีคุณประโยชน์ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นประกอบด้วย
1. สารสกัดจากโสมเกาหลี
โสมเกาหลี ได้รับการยอมรับในแวดวงการแพทย์แผนโบราณและการแพทย์ทางเลือกว่าเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการเสริมภูมิคุ้มกัน และเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย
มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าโสมเกาหลีช่วยลดความเครียด ปรับสมดุลฮอร์โมน และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระซึ่งสอดคล้องกับความต้องการวิตามินอีที่เพิ่มขึ้นในวัยทอง นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบประสาทและสมอง ซึ่งมักเสื่อมถอยลงตามอายุ
2. สารสกัดจากฟีนูกรีก
ฟีนูกรีก มีคุณสมบัติในการช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งสำคัญมากสำหรับผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน นอกจากนี้ ฟีนูกรีกยังมีส่วนช่วยในการลดคอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือดในวัยทอง สารไฟโตเอสโตรเจนในฟีนูกรีกยังอาจช่วยบรรเทาอาการวัยทองในผู้หญิง เช่น อาการร้อนวูบวาบและความแปรปรวนของอารมณ์
3. แอล อาร์จีนีน
แอล อาร์จีนีน เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายใช้ในการผลิตไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยขยายหลอดเลือดและปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด ในวัยทองที่ความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มสูงขึ้น การได้รับแอล อาร์จีนีนจึงมีส่วนช่วยในการรักษาสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งมีแนวโน้มลดลงในวัยนี้
4. สารสกัดกระชายดำ
กระชายดำ เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการวิตามินซีและวิตามินอีที่เพิ่มขึ้นในวัยทอง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการไหลเวียนเลือด เสริมสร้างพลังงาน และปรับสมดุลฮอร์โมน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับทั้งชายและหญิงในวัยทอง
5. ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท
ซิงค์หรือสังกะสี เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ได้กล่าวถึงในบทความเกี่ยวกับวัยทอง มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน สนับสนุนการเจริญของเซลล์ และการรักษาบาดแผล ในรูปแบบของอะมิโน แอซิด คีเลท ซิงค์จะถูกดูดซึมได้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในวัยทองที่ระบบภูมิคุ้มกันอาจอ่อนแอลง และการรักษาบาดแผลช้าลง ซิงค์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังช่วยรักษาประสาทรับรสและกลิ่น ซึ่งมักเสื่อมลงตามอายุ
6. สารสกัดจากแปะก๊วย
แปะก๊วย มีคุณสมบัติในการปรับปรุงการไหลเวียนเลือดโดยเฉพาะในสมอง ช่วยเพิ่มความจำและความสามารถในการรับรู้ ในวัยทองที่ความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมและความจำเสื่อมเพิ่มสูงขึ้น การได้รับสารสกัดจากแปะก๊วยจึงมีประโยชน์อย่างมาก
นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการวิตามินอีและวิตามินซีที่เพิ่มขึ้นในวัยทอง
7. สารสกัดจากงาดำ
งาดำ อุดมไปด้วยแคลเซียม แมกนีเซียม และวิตามินอี ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่กล่าวถึงในบทความวัยทอง แคลเซียมและแมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพกระดูก ซึ่งมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนเพิ่มสูงขึ้นในวัยทอง
นอกจากนี้…งาดำยังมีสารเซซามิน (sesamin) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และการเกิดโรคเรื้อรัง
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) และ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของร่างกายในวัยทอง โดยมีส่วนประกอบที่สอดคล้องกับความต้องการวิตามินและแร่ธาตุที่เพิ่มขึ้นในช่วงวัยนี้ เช่น วิตามินอี วิตามินซี วิตามินบีคอมเพล็กซ์ แคลเซียม แมกนีเซียม และสังกะสี
อย่างไรก็ตาม…ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่สามารถทดแทนอาหารหลักได้ การรับประทานอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผ่านช่วงวัยทองได้อย่างมีสุขภาพที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
และเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพวัยทอง เราขอแนะนำให้คุณผู้อ่านรับประทาน ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) สำหรับคุณผู้หญิง และ ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) สำหรับคุณผู้ชาย วันละ 1 แคปซูลหลังอาหารเช้าหรือเย็นมื้อที่สะดวกพร้อมน้ำอุ่น เพียงเท่านี้คุณก็เหมือนได้ดูแลตัวเองมากขึ้นกว่าเมื่อวาน
4. วิธีการรับประทานวิตามินเสริมที่ถูกต้อง
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทาน:
- วิตามินที่ละลายในน้ำ (วิตามินบีและซี) ควรรับประทานกับอาหารเช้าเพื่อเพิ่มพลังงานตลอดวัน
- วิตามินที่ละลายในไขมัน (วิตามินเอ ดี อี เค) ควรรับประทานพร้อมอาหารที่มีไขมันเพื่อเพิ่มการดูดซึม
- แคลเซียม ควรแบ่งรับประทานเป็น 2 – 3 ครั้งต่อวัน ไม่ควรเกิน 500 – 600 มิลลิกรัมต่อครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึม
- แมกนีเซียม รับประทานในช่วงเย็นหรือก่อนนอน เนื่องจากอาจช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
การรับประทานร่วมกับอาหารหรือเครื่องดื่ม
- รับประทานวิตามินเสริม พร้อมอาหารเพื่อลดอาการระคายเคืองกระเพาะและเพิ่มการดูดซึม
- ดื่มน้ำเปล่าในปริมาณมาก เมื่อรับประทานวิตามินเสริม (อย่างน้อย 1 แก้วใหญ่)
- หลีกเลี่ยงการรับประทานวิตามินเสริมพร้อมชาหรือกาแฟ เนื่องจากอาจรบกวนการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิด
- รับประทานวิตามินซีห่างจากการดื่มนมอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เนื่องจากแคลเซียมอาจรบกวนการดูดซึมวิตามินซี
5. ข้อควรระวังและการหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาระหว่างวิตามินและยา
ปฏิกิริยาระหว่างวิตามินกับยา
- วิตามินเค อาจลดประสิทธิภาพของยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน
- วิตามินอี อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะเลือดออกง่ายเมื่อใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- แคลเซียม อาจรบกวนการดูดซึมยาปฏิชีวนะกลุ่มเตตร้าไซคลินและฟลูโอโรควิโนโลน
- เหล็ก อาจลดประสิทธิภาพของยารักษาไทรอยด์ ยาลดกรดบางชนิด และยาปฏิชีวนะบางประเภท
- วิตามินบี12 อาจถูกดูดซึมได้น้อยลงในผู้ที่ใช้ยาลดกรดเป็นประจำ
ข้อควรระวังเฉพาะสำหรับแต่ละกลุ่มคน
- ผู้ที่มีโรคไต ควรระวังการรับประทานแมกนีเซียมและวิตามินเอในปริมาณสูง
- ผู้ที่มีโรคตับ ควรระวังการรับประทานวิตามินเอและนิอาซิน (วิตามินบี3) ในปริมาณสูง
- ผู้ที่มีโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานแคลเซียมในปริมาณสูง
- ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ควรระวังผลิตภัณฑ์เสริมที่มีโซเดียมสูง
- ผู้ที่มีโรคเบาหวาน ควรติดตามระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอเมื่อรับประทานวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบี3 และโครเมียม
การได้รับวิตามินจากอาหารธรรมชาติสำหรับวัยทอง
ไม่ว่าจะเป็นวิตามินหรือแร่ธาตุก็ตาม…การได้รับสารอาหารจากอาหารธรรมชาติถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด เนื่องจากร่างกายสามารถดูดซึมและใช้ประโยชน์จากสารอาหารในอาหารได้ดีกว่า
นอกจากนี้ อาหารธรรมชาติยังมีสารพฤกษเคมี และใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวมของวัยทองอีกด้วย
แหล่งอาหารที่อุดมด้วยวิตามินดี
วิตามินดี มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสุขภาพกระดูกในวัยทอง โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคกระดูกพรุน แม้ว่าร่างกายจะสามารถสร้างวิตามินดีได้เองเมื่อผิวหนังสัมผัสแสงแดด แต่ความสามารถนี้จะลดลงตามอายุ
อาหารที่มีวิตามินดีสูง
- ปลาทะเลที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน และปลาแมคเคอเรล
- น้ำมันตับปลา (เป็นแหล่งวิตามินดีที่เข้มข้นที่สุด)
- ไข่แดง (โดยเฉพาะไข่จากไก่ที่เลี้ยงปล่อย)
- เห็ด (โดยเฉพาะเห็ดที่ถูกนำไปตากแดด)
- นมและผลิตภัณฑ์จากนมที่เสริมวิตามินดี
- เครื่องดื่มจากพืช (นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์) ที่เสริมวิตามินดี
เคล็ดลับการเพิ่มวิตามินดีในชีวิตประจำวัน
- วัยทองควรใช้เวลาอยู่กลางแจ้ง 15 – 20 นาทีต่อวัน (ช่วงเช้าหรือเย็น)
- เสิร์ฟปลาแซลมอนย่างพร้อมผักและข้าวกล้องเป็นมื้อเย็น 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- เพิ่มไข่ในอาหารเช้า เช่น ไข่ดาวหรือไข่คน
- ใช้น้ำมันตับปลาเป็นอาหารเสริม (ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ)
แหล่งอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี คอมเพล็กซ์
วิตามินบีคอมเพล็กซ์ มีความสำหรับระบบประสาทและการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในวัยทองที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย
อาหารที่มีวิตามินบี 6 สูง
- เนื้อสัตว์ (ไก่ หมู วัว)
- ปลา (ปลาทูน่า ปลาแซลมอน)
- ถั่วชนิดต่างๆ (ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา)
- กล้วย
- มันฝรั่ง
- อโวคาโด
อาหารที่มีวิตามินบี 9 (โฟเลต) สูง
- ผักใบเขียว (ผักโขม คะน้า ผักกาดหอม)
- ตับ
- ถั่วต่างๆ (ถั่วดำ ถั่วเลนทิล)
- อโวคาโด
- ส้ม
- ธัญพืชไม่ขัดสี
อาหารที่มีวิตามินบี 12 สูง
- เนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อแดงและตับ
- ปลา (ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาเทราต์)
- นมและผลิตภัณฑ์จากนม (โยเกิร์ต ชีส)
- ไข่
- อาหารเสริมวิตามินบี 12 (สำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติหรือวีแกน)
เคล็ดลับการเพิ่มวิตามินบีในชีวิตประจำวัน
- วัยทองควรรับประทานอาหารที่หลากหลาย ทั้งเนื้อสัตว์ ผัก ธัญพืช และถั่ว
- รับประทานปลา 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- เพิ่มผักใบเขียวในสลัดหรือในแซนด์วิช
- ใช้ธัญพืชไม่ขัดสีแทนธัญพืชขัดขาว
- เสริมถั่วและเมล็ดพืชในอาหารว่างหรือสลัด
แหล่งอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี
วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งสำคัญต่อสุขภาพผิวและข้อต่อในวัยทอง
อาหารที่มีวิตามินซีสูง
- ผลไม้ตระกูลส้ม (ส้ม ส้มโอ มะนาว)
- พริกหวาน โดยเฉพาะพริกหวานสีแดงและสีเหลือง
- กีวี
- สตรอเบอร์รี
- ผักใบเขียว (บรอกโคลี กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี)
- มะเขือเทศ
- สับปะรด
- ฝรั่ง
- มะละกอ
เคล็ดลับการเพิ่มวิตามินซีในชีวิตประจำวัน
- แนะนำให้วัยทองเริ่มวันด้วยน้ำมะนาวอุ่นหนึ่งแก้ว
- รับประทานผลไม้สดเป็นอาหารว่าง
- เพิ่มพริกหวานสดในสลัดหรืออาหารจานหลัก
- เตรียมสลัดผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี
- ปรุงผักให้สุกเพียงเล็กน้อย (แบบกรอบ) เพื่อรักษาวิตามินซี
- เพิ่มมะเขือเทศในอาหารหลายประเภท เช่น สลัด แซนด์วิช และอาหารจานหลัก
แหล่งอาหารที่อุดมด้วยวิตามินอี
วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย และช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในวัยทอง
อาหารที่มีวิตามินอีสูง
- น้ำมันพืช โดยเฉพาะน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันคาโนลา และน้ำมันมะกอก
- ถั่วและเมล็ดพืช (อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน)
- อโวคาโด
- ผักใบเขียว
- ปลา (ปลาแซลมอน ปลาเทราต์)
- ช็อกโกแลตดำ (ที่มีโกโก้มากกว่า 70%)
เคล็ดลับการเพิ่มวิตามินอีในชีวิตประจำวัน
- ใช้น้ำมันที่มีวิตามินอีสูงในการปรุงอาหารและทำน้ำสลัด
- เพิ่มถั่วและเมล็ดพืชในอาหารเช้า สลัด หรือทานเป็นอาหารว่าง
- ทานอโวคาโดเป็นประจำ
- ใช้ช็อกโกแลตดำเป็นขนมหวานบ้างเป็นครั้งคราว
- ทานปลา 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์
แหล่งอาหารที่อุดมด้วยวิตามินเค
วิตามินเค มีบทบาทสำคัญในการแข็งตัวของเลือดและสุขภาพกระดูก ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนและกระดูกหัก
อาหารที่มีวิตามินเคสูง
- ผักใบเขียวเข้ม (คะน้า ผักโขม บรอกโคลี)
- ผักตระกูลกะหล่ำ (กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก)
- สาหร่ายทะเล
- น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันคาโนลา
- ไข่
- เนย ชีส
- ตับ
เคล็ดลับการเพิ่มวิตามินเคในชีวิตประจำวัน
- แนะนำให้วัยทองเพิ่มผักใบเขียวในทุกมื้ออาหาร
- ใช้น้ำมันที่มีวิตามินเคสูงในการปรุงอาหาร
- เพิ่มสาหร่ายทะเลในสลัดหรืออาหารญี่ปุ่น
- รับประทานไข่เป็นประจำ
แหล่งอาหารที่อุดมด้วยวิตามินเอ
วิตามินเอ มีบทบาทสำคัญในการมองเห็น การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และสุขภาพผิวหนัง ซึ่งมักเสื่อมลงในวัยทอง
อาหารที่มีวิตามินเอสูง
- ตับ (แหล่งวิตามินเอที่เข้มข้นที่สุด)
- ผักและผลไม้สีส้มและสีเหลือง (แครอท ฟักทอง มะม่วงสุก)
- ผักใบเขียวเข้ม (ผักโขม คะน้า ผักบุ้ง)
- นม เนย และผลิตภัณฑ์จากนม
- ไข่
- ปลาน้ำมัน (ปลาแซลมอน ปลาทูน่า)
เคล็ดลับการเพิ่มวิตามินเอในชีวิตประจำวัน
- วัยทองควรรับประทานผักและผลไม้สีส้มเป็นประจำ
- เพิ่มผักใบเขียวในอาหารทุกมื้อ
- ทานตับ 1 – 2 ครั้งต่อเดือน (ไม่ควรมากเกินไปเนื่องจากมีวิตามินเอสูงมาก)
- เตรียมสลัดที่มีส่วนผสมของผักหลากสี
- ใช้เนยหรือนมในการปรุงอาหาร
อาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุสำหรับวัยทอง
แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม
แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่สำคัญที่สุดสำหรับสุขภาพกระดูกและฟัน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในวัยทองที่มีการสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในผู้หญิงหลังหมดประจำเดือน
อาหารที่มีแคลเซียมสูง
- นมและผลิตภัณฑ์จากนม (โยเกิร์ต ชีส)
- อาหารทะเล (ปลาซาร์ดีนกระป๋อง ปลาแซลมอนกระป๋อง)
- ผักใบเขียว (คะน้า ผักโขม บรอกโคลี)
- เต้าหู้ที่เตรียมด้วยแคลเซียม
- อัลมอนด์
- งา
- ถั่วเหลือง
- น้ำส้มที่เสริมแคลเซียม
เคล็ดลับการเพิ่มแคลเซียมในชีวิตประจำวัน
- วัยทองควรรับประทานผลิตภัณฑ์จากนม 2 – 3 ส่วนต่อวัน
- เพิ่มผักใบเขียวในอาหารทุกมื้อ
- เติมเมล็ดงาหรืออัลมอนด์ในสลัดหรืออาหารเช้า
- เตรียมอาหารที่มีเต้าหู้เป็นส่วนประกอบ
- ทานปลาซาร์ดีนกระป๋อง 1 – 2 ครั้งต่อสัปดาห์
แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม
แมกนีเซียม มีบทบาทสำคัญในการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท และช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคกระดูกพรุน ซึ่งพบบ่อยในวัยทอง
อาหารที่มีแมกนีเซียมสูง
- ถั่วและเมล็ดพืช (อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง ถั่วลิสง)
- ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต)
- ผักใบเขียว (ผักโขม คะน้า)
- อโวคาโด
- กล้วย
- ช็อกโกแลตดำ (ที่มีโกโก้มากกว่า 70%)
- ถั่วเหลือง
- ปลา (ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล)
เคล็ดลับการเพิ่มแมกนีเซียมในชีวิตประจำวัน
- แนะนำให้ใช้ธัญพืชไม่ขัดสีแทนธัญพืชขัดขาว
- วัยทองควรเพิ่มถั่วและเมล็ดพืชในอาหารเช้า สลัด หรือทานเป็นอาหารว่าง
- รับประทานกล้วย 1 ผลต่อวัน
- เพิ่มผักใบเขียวในอาหารทุกมื้อ
- ทานอโวคาโดเป็นประจำ
- ใช้ช็อกโกแลตดำเป็นขนมหวานบ้างเป็นครั้งคราว
แหล่งอาหารที่อุดมด้วยเหล็ก
เหล็ก เป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง และช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง ซึ่งอาจพบได้ในผู้สูงอายุเนื่องจากการดูดซึมที่ลดลง
อาหารที่มีเหล็กสูง
- เนื้อแดง (เนื้อวัว เนื้อแกะ)
- ตับและเครื่องในสัตว์
- หอยนางรม
- ถั่วและเมล็ดพืช (ถั่วลันเตา เมล็ดฟักทอง)
- ธัญพืชเสริมธาตุเหล็ก
- ผักใบเขียวเข้ม (ผักโขม คะน้า)
- ไข่
- ผลไม้แห้ง (แอปริคอตแห้ง ลูกเกด)
เคล็ดลับการเพิ่มเหล็กในชีวิตประจำวัน:
- รับประทานเนื้อแดงที่มีไขมันต่ำ 1 – 2 ครั้งต่อสัปดาห์
- เพิ่มผักใบเขียวในอาหารทุกมื้อ
- ทานผลไม้แห้งเป็นอาหารว่าง
- ทานอาหารที่มีวิตามินซีพร้อมกับอาหารที่มีเหล็ก เพื่อเพิ่มการดูดซึม
- หลีกเลี่ยงการดื่มชาหรือกาแฟพร้อมกับอาหารที่มีเหล็ก เนื่องจากจะลดการดูดซึม
แหล่งอาหารที่อุดมด้วยสังกะสี
สังกะสี มีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การรักษาบาดแผล และการรับรสและกลิ่น ซึ่งมักเสื่อมลงในวัยทอง
อาหารที่มีสังกะสีสูง
- เนื้อแดง
- สัตว์ปีก
- อาหารทะเล (หอยนางรม กุ้ง ปู)
- ถั่วและเมล็ดพืช (เมล็ดฟักทอง ถั่วลิสง)
- ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต)
- นมและผลิตภัณฑ์จากนม
- ไข่
- เห็ด
เคล็ดลับการเพิ่มสังกะสีในชีวิตประจำวัน
- รับประทานเนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำเป็นประจำ
- แนะนำให้วัยทองหาโอกาสทานอาหารทะเล 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- เพิ่มถั่วและเมล็ดพืชในอาหารเช้า สลัด หรือทานเป็นอาหารว่าง
- ใช้ธัญพืชไม่ขัดสีแทนธัญพืชขัดขาว
- เพิ่มเห็ดในอาหารจานหลัก
สรุป
การได้รับวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วงวัยทอง เนื่องจากร่างกายกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนและกระบวนการเผาผลาญที่ช้าลง ความสมดุลเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพในวัยนี้ การได้รับสารอาหารไม่เพียงพออาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพหลายประการ เช่น โรคกระดูกพรุน ภาวะโลหิตจาง หรือการอ่อนแอของระบบภูมิคุ้มกัน ในขณะเดียวกัน การได้รับในปริมาณที่มากเกินไปโดยเฉพาะจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็อาจเป็นอันตรายได้เช่นกัน
ดังนั้น หากอยากลองทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพแน่นอน ให้นึกถึง DNAe ดีเน่ ได้เลย…