ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในประเทศไทยพบว่าปัญหามลพิษทางอากาศโดยเฉพาะ “PM 2.5” กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนทุกเพศทุกวัย แต่กลุ่มที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือ “ผู้ที่อยู่ในวัยทอง” เนื่องจากร่างกายมีความอ่อนแอและภูมิต้านทานที่ลดลงตามวัย ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจากการสัมผัสฝุ่น PM 2.5
วัยทอง เป็นช่วงวัยที่ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มของร่างกายกันอ่อนแอลง และเมื่อต้องเผชิญกับมลพิษทางอากาศอย่าง PM 2.5 จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจและระบบหัวใจและหลอดเลือด
PM 2.5 คืออะไร และทำไมถึงอันตราย?
PM 2.5 หรือ Particulate Matter 2.5 คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับเส้นผมของเราพบว่าเล็กกว่าประมาณ 25 เท่าเลยทีเดียว ด้วยขนาดที่เล็กมากนี้ ทำให้ PM 2.5 สามารถแทรกซึมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนลึก และเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรงอย่างง่ายๆ เลยทีเดียว
ฝุ่น PM 2.5 มีแหล่งกำเนิดหลักมาจากที่ใด
- การจราจรและการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากรถยนต์ประเภทต่างๆ
- การเผาในที่โล่งและไฟป่า
- การก่อสร้างและอุตสาหกรรม
- การทำเกษตรกรรม
ผลกระทบของ PM 2.5 ต่อสุขภาพวัยทอง
คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า…ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยทองโดยเฉพาะการลดลงของฮอร์โมนเพศที่ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันนั้น ทำให้ร่างกายของเราตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษได้ไวมากยิ่งขึ้น และการสัมผัสกับ PM 2.5 ซึ่งเป็นอนุภาคฝุ่นขนาดเล็กที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายได้ลึก จึงยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ดังนี้
1. ผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ
อนุภาค PM 2.5 สามารถเล็ดลอดผ่านระบบการกรองตามธรรมชาติร่างกายวัยทองของเราเข้าสู่ทางเดินหายใจส่วนล่างและถุงลมปอดได้โดยตรง ยิ่งในวัยทองที่เยื่อบุทางเดินหายใจมีความเปราะบางมากขึ้น จึงก่อให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบได้ง่าย นำไปสู่อาการต่างๆ เช่น
- หอบหืดกำเริบ ผู้ป่วยโรคหอบหืดในวัยทองมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น เมื่อสัมผัสกับ PM 2.5 อาจทำให้เกิดอาการกำเริบรุนแรง หลอดลมตีบแคบ หายใจติดขัด และในบางรายเมื่อเกิดอาการอาจต้องเข้ารับการรักษาฉุกเฉิน
- หลอดลมอักเสบเรื้อรัง การสัมผัส PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุหลอดลมนำไปสู่อาการไอเรื้อรัง มีเสมหะ และหายใจลำบาก ยิ่งในวัยทองอาจฟื้นตัวได้ช้า
- ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจได้ง่าย ภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงในวัยทองทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อเยื่อบุทางเดินหายใจถูกทำลายจาก PM 2.5
2. ผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
PM 2.5 ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อระบบหายใจเท่านั้น แต่ยังสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะในวัยทองที่หลอดเลือดมักมีความยืดหยุ่นลดลงอยู่แล้ว อาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ได้แก่
- ความดันโลหิตสูง PM 2.5 สามารถกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัว ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งในวัยทองที่มักมีปัญหาความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว อาจทำให้ควบคุมความดันได้ยากขึ้น
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ ด้วยอนุภาคของ PM 2.5 สามารถรบกวนการทำงานของระบบไฟฟ้าในหัวใจ อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้ โดยเฉพาะในผู้สูงวัยที่มีความเสี่ยงอยู่แล้วนั้นเอง
- โรคหลอดเลือดสมอง การอักเสบของหลอดเลือดจาก PM 2.5 เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตกได้
- กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด PM 2.5 ทำให้เกิดการอักเสบและการแข็งตัวของหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้น้อยลง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจตายได้
3. เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง
การสัมผัส PM 2.5 เป็นเวลานานสามารถเพิ่มความเสี่ยงโรคร้ายวัยทอง 02: 12/67 โดยเฉพาะการเกิดมะเร็งได้หลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งปอด เนื่องจากอนุภาค PM 2.5 มีขนาดเล็กมากจนสามารถแทรกซึมเข้าสู่ถุงลมปอดและกระแสเลือดได้ ในอนุภาคเหล่านี้มักมีสารก่อมะเร็งหลายชนิดปนเปื้อนอยู่ เช่น สารประกอบไฮโดรคาร์บอน โลหะหนัก และสารอินทรีย์ระเหยง่าย สำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทอง มีความเสี่ยงสูงกว่าวัยอื่นด้วยเหตุผลสำคัญหลายประการ อาทิ
- ประการแรก ระบบซ่อมแซมดีเอ็นเอของเซลล์ในร่างกายทำงานได้ช้าลงตามวัย เมื่อสารก่อมะเร็งจาก PM 2.5 เข้าไปทำลายดีเอ็นเอ ร่างกายจึงซ่อมแซมความเสียหายได้ไม่ทันและไม่สมบูรณ์ ทำให้เซลล์มีโอกาสกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้มากขึ้น
- ประการที่สอง ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลงในวัยทองทำให้ความสามารถในการกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติลดลง โดยปกติร่างกายจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่คอยตรวจจับและทำลายเซลล์ที่มีแนวโน้มจะกลายเป็นมะเร็ง แต่เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอ กระบวนการนี้จึงทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
- ประการที่สาม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในวัยทอง โดยเฉพาะการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิง และเทสโทสเตอโรนในผู้ชาย อาจส่งผลต่อการทำงานของระบบป้องกันการเกิดมะเร็งในร่างกาย
นอกจากมะเร็งปอดแล้ว การสัมผัสหรือรับ PM 2.5 เป็นเวลานานเข้าสู่ร่างกาย ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งชนิดอื่นๆ ได้แก่
- มะเร็งเม็ดเลือด เนื่องจากสารพิษสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง จากการที่ระบบน้ำเหลืองต้องทำงานหนักในการกำจัดสารพิษ
- มะเร็งผิวหนัง จากการสัมผัสกับอนุภาคที่มีสารก่อมะเร็งโดยตรง
การป้องกันตัวเองจาก PM 2.5 สำหรับวัยทอง
เมื่อคุณผู้อ่านได้ทราบถึงผลกระทบของ PM 2.5 เมื่อเข้าสู่วัยทองแล้ว การดูแลสุขภาพจากภัย PM 2.5 จึงมีความจำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษอย่างมาก เพราะระบบภูมิคุ้มกันที่ถดถอยลงอาจทำให้ร่างกายตอบสนองต่อมลพิษทางอากาศได้รุนแรงกว่าวัยอื่น
เราจึงมีวิธีการป้องกันตนเองจากฝุ่น PM 2.5 มาฝากคุณผู้อ่านทุกท่าน เพื่อทำความเข้าใจวิธีการป้องกันตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพที่ใครๆ ก็ทำตามได้อย่างง่ายๆ
การป้องกันขั้นพื้นฐานที่ทุกคนในวัยทองควรปฏิบัติ
- ติดตามคุณภาพอากาศอย่างสม่ำเสมอ
ในแต่ละวันค่า PM 2.5 สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพอากาศและปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่างๆ การติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้วางแผนกิจวัตรประจำวันได้อย่างปลอดภัย โดยสามารถติดตามได้ผ่านแอปพลิเคชันของกรมควบคุมมลพิษ หรือแอปพลิเคชันวัดคุณภาพอากาศอื่นๆ ที่น่าเชื่อถือ โดยควรตรวจสอบค่า PM 2.5 อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ ช่วงเช้าก่อนออกจากบ้าน และช่วงบ่ายเพื่อวางแผนกิจกรรมในช่วงเย็นนั้นเอง
- การเลือกใช้หน้ากากอนามัยที่เหมาะสม
หน้ากากที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน PM 2.5 สำหรับวัยทอง ต้องเป็นหน้ากากที่ได้มาตรฐาน N95 หรือ KN95 ซึ่งสามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กได้ถึง 95% หรือสังเกตจากหน้าซองหรือถุงง่ายๆ ว่ามีคำเคลมในการป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้หรือไม่นั้นเอง
ส่วนการสวมใส่ที่ถูกต้อง สำหรับวัยทองต้องระมัดระวังให้กระชับกับใบหน้า ไม่มีช่องว่างที่อากาศจะรั่วไหลเข้าได้ และควรเปลี่ยนหน้ากากใหม่เมื่อใช้งานครบตามกำหนด หรือเมื่อหน้ากากเปื้อนหรือชำรุด อย่าลืมหน้ากากที่ใส่เราก็ควรที่จะหายใจได้อย่างถนัดเช่นกัน
- การจัดการพื้นที่อยู่อาศัย
สำหรับวัยทองท่านใดที่ชอบอยู่ภายในบ้าน เราขอแนะนำว่าควรติดตั้งเครื่องฟอกอากาศที่มีไส้กรอง HEPA ไว้ภายในบ้าน เพราะสามารถช่วยดักจับและกรอง PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยควรวางเครื่องฟอกอากาศในห้องที่เรานั้นมักใช้เวลาอยู่นานที่สุด เช่น ห้องนอน และห้องนั่งเล่น
นอกจากนี้ ควรปิดประตูหน้าต่างในช่วงที่ค่าฝุ่นสูงหรือติดตั้งตาข่ายกรองฝุ่นที่หน้าต่าง และทำความสะอาดบ้านด้วยการเช็ดถูด้วยผ้าชุบน้ำแทนการกวาดเพื่อไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบ้าน
- การปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน
ในช่วงที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 มีค่าที่สูงเกินกำหนด ขอแนะนำให้วัยทองทุกท่านควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่ต้องหายใจแรง หรือหากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ควรเลือกช่วงเวลาที่ค่าฝุ่นต่ำ ซึ่งมักเป็นช่วงสายถึงบ่าย และควรใช้เวลาอยู่กลางแจ้งให้น้อยที่สุด ที่สำคัญใส่แมสก์ทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน
- การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน แน่นอนว่าวัยทองควรเน้นไปที่อาหารสุขภาพสำหรับวัยทอง 03: 01/68 ที่มีวิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ธัญพืช และน้ำมันปลา นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอเพื่อช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
- การเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะฉุกเฉิน
วัยทองทุกท่านควรเตรียมยาประจำตัวให้พร้อม โดยเฉพาะยาพ่นสำหรับผู้ที่มีโรคระบบทางเดินหายใจ และควรมีเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินติดตัวไว้เสมอ หากมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือวิงเวียนศีรษะ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- การดูแลสุขภาพจิต
ความเครียดจากปัญหามลพิษทางอากาศอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของวัยทองได้ ควรหากิจกรรมผ่อนคลายที่ทำได้ในร่ม เช่น การทำสมาธิ โยคะเบาๆ หรืองานอดิเรกที่ชื่นชอบ และอย่าลืมพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงเพื่อให้รู้สึกไม่เหงาและไม่โดดเดี่ยวนั้นเอง
- การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล
ด้านผู้เชี่ยวชาญศาสตราจารย์นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายใจได้ให้คำแนะนำสำหรับการดูแลสุขภาพในวัยทองช่วงที่มี PM 2.5 สูง ว่าการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการป้องกันผลกระทบจาก PM 2.5 จึงแนะนำว่าควร…
- ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
- ทำความสะอาดร่างกายหลังออกนอกบ้าน
- เปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีเมื่อกลับถึงบ้าน
- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือทุกวันอย่างเป็นประจำ
อาหาร เครื่องดื่ม การออกกำลังกายที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในช่วง PM 2.5 สูง
เรื่องของการรับประทานอาหารยังไงก็เป็นส่วนที่สำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ สำหรับวัยทอง เนื่องจากอาหารที่มีสารอาหารเฉพาะบางชนิดสามารถช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ และช่วยให้ร่างกายกำจัดสารพิษได้ดีขึ้น ลองมาทำความรู้จักกับอาหารที่ควรรับประทานในช่วงนี้กัน
- กลุ่มอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี
วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของวันทองได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีผลไม้และผักต่างๆ ที่อุดมด้วยวิตามินซี ได้แก่
- ส้ม นอกจากวิตามินซีแล้ว ยังมีสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยต้านการอักเสบ ควรเลือกรับประทานทั้งผลโดยไม่คั้นน้ำ เพื่อได้รับใยอาหารด้วย
- มะขามป้อม มีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึง 20 เท่า และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน สามารถรับประทานสดหรือแปรรูปเป็นชาได้
- ฝรั่ง อุดมไปด้วยวิตามินซีและใยอาหาร ช่วยในการขับสารพิษและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- พริกหวาน โดยเฉพาะพริกหวานสีแดงและเหลือง มีวิตามินซีสูงและยังมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยต้านการอักเสบ
- บรอกโคลี นอกจากวิตามินซีแล้ว ยังมีสารซัลโฟราเฟนที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์กำจัดสารพิษในร่างกาย
- กลุ่มอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจาก PM 2.5 และไม่ให้สารอื่นๆ ส่งผลร้ายกับร่างกาย ในรกรณีที่ร่างกายมีสารอนมูลอิสระมากเกินไป จะทำให้เนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆ ในร่างกายเกิดความเสียหาย ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของการเกิดโรค โดยอาหารในกลุ่มนี้ ได้แก่
- ชาเขียว อุดมด้วยสาร EGCG ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบสูง ควรดื่มวันละ 2-3 ถ้วย แต่ไม่ควรดื่มพร้อมมื้ออาหารเพราะอาจรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็ก
- บลูเบอร์รี มีสารแอนโทไซยานินที่ช่วยต้านการอักเสบและปกป้องเซลล์สมอง เหมาะสำหรับวัยทองที่ต้องการดูแลระบบประสาท
- ทับทิม มีสารพูนิคาลาจินที่ช่วยต้านการอักเสบและปกป้องหลอดเลือด เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาระบบหัวใจและหลอดเลือด
- มะเขือเทศ มีไลโคปีนสูง ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ควรรับประทานแบบปรุงสุกเพื่อให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้ดีขึ้น
- ถั่วต่างๆ โดยเฉพาะถั่วลิสง ถั่วอัลมอนด์ และถั่วเปลือกแข็งอื่นๆ มีวิตามินอีสูง ช่วยปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์จากความเสียหาย
และคุณผู้อ่านท่านใดที่กำลังมองหาการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยสารสกัดจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน เรามีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมดีๆ จาก “ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus)” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่รวบรวมสารสกัดจากธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพวัยทอง ประกอบด้วย
- สารสกัดจากถั่วเหลือง จากประเทศสเปน อุดมด้วยไอโซฟลาโวน ช่วยลดอาการของวัยทองและต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจาก PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สารสกัดจากตังกุย สมุนไพรจีนที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน บำรุงเลือด และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ
- สารสกัดจากแปะก๊วย มีคุณสมบัติในการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจาก PM 2.5
- สารสกัดจากงาดำ อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่ มีสารแอนโทไซยานินสูง ช่วยต้านการอักเสบและปกป้องระบบทางเดินหายใจจากมลพิษ และ
- อินูลิน พรีไบโอติก ช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้และระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมรับมือกับมลพิษทางอากาศ
*ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนรับประทาน
และสำหรับคุณผู้ชายที่เป็นวัยทอง เราก็มีมาแนะนำด้วยกันกับ “ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus)” เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์สุขภาพผู้ชายวัยทองโดยเฉพาะ ด้วยส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต้านทานผลกระทบจาก PM 2.5
- สารสกัดจากโสมเกาหลี สมุนไพรที่มีชื่อเสียงในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เพิ่มพลังงาน และต้านความเครียดออกซิเดทีฟที่เกิดจาก PM 2.5 ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและต้านทานมลพิษได้ดีขึ้น
- สารสกัดจากฟีนูกรีก มีคุณสมบัติในการปรับสมดุลฮอร์โมนเพศชาย ช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรนตามธรรมชาติ ซึ่งส่งผลดีต่อการสร้างกล้ามเนื้อและระบบภูมิคุ้มกัน
- แอล อาร์จีนีน กรดอะมิโนที่ช่วยขยายหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ได้ดีขึ้น ช่วยลดผลกระทบจากมลพิษทางอากาศต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
- สารสกัดกระชายดำ สมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบที่เกิดจาก PM 2.5
- ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท แร่ธาตุสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และมีบทบาทสำคัญในการสร้างฮอร์โมนเพศชาย ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมรับมือกับมลพิษ
- สารสกัดจากแปะก๊วย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ต้านอนุมูลอิสระ และปกป้องเซลล์สมองจากความเสียหายที่เกิดจาก PM 2.5
- สารสกัดจากงาดำ อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
*ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนรับประทาน
เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากดีเน่ แนะนำรับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าหรือมื้ออาหารที่คุณผู้อ่านสะดวก ควบคู่กับการดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ ให้คุณดูแลสุขภาพได้แบบ X2 ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะขวดนี้ผ่านการขึ้นทะเบียนจาก อย. และผ่านการรับรองอย่างถูกต้อง
- เครื่องดื่มที่ช่วยขับสารพิษ
นอกจากการรับประทานอาหารต่างๆ แล้ว การดื่มน้ำสะอาดที่เพียงพอต่อร่างกาย จะช่วยเร่งขับฝุ่น PM 2.5 ที่เล็ดลอดเข้ากระแสเลือดออกไปทางไตในรูปของปัสสาวะได้มากขึ้น ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยชะล้างสารพิษออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมี…
- น้ำมะนาว ช่วยในการขับสารพิษและเสริมวิตามินซี ควรดื่มตอนเช้าก่อนอาหาร
- น้ำขิง มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ
นอกจากกลุ่มอาหารทั้ง 3 กลุ่มที่เราได้ให้คำแนะนำในการรับประทานอาหารกับคุณผู้อ่านไปแล้ว สิ่งสำคัญไม่แพ้กัน คือ วัยทองควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหลากหลาย โดยเน้นการรับประทานผักและผลไม้สดที่ล้างสะอาด สิ่งสำคัญ คือ การหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หวานจัด มันจัด ให้รับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป หากสามารถทำหรือปรุงอาหารเองได้ยิ่งดี เพราะจะสามารถควบคุมความสะอาดและคุณค่าทางโภชนาการได้มากยิ่งขึ้น
การออกกำลังกายที่เหมาะสมในช่วง PM 2.5
ไม่เพียงแค่การรับประทานอาหารเท่านั้นที่จะดีต่อร่างกาย การออกกำลังกายในกลุ่มวัยทองก็มีความสำคัญต่อสุขภาพไม่แพ้กัน แต่ในช่วงที่มีค่า PM 2.5 สูง จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการออกกำลังกายให้เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อสุขภาพ จึงเป็นการออกกำลังกายในพื้นที่ปิดหรือการออกกำลังในร่มนั้นเอง มาลองดูว่าจะมีกีฬาประเภทไหนบ้างที่คุณมาถูกทางแล้ว
- โยคะ
โยคะเป็นการออกกำลังกายที่เน้นการหายใจและการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับวัยทอง นอกจากจะช่วยคลายปวดและกล้ามเนื้อได้แล้ว ประโยชน์ที่ได้ยังมีมีดังนี้
- เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
- ช่วยในการทรงตัวของวัยทอง ป้องกันการหกล้ม
- ลดความเครียด ช่วยให้อยู่กับตัวเอง
- ฝึกการหายใจที่ถูกต้อง
- การเดินในห้างสรรพสินค้า
การเดิในห้างสรรพสินค้าที่มีระบบปรับอากาศและกรองอากาศที่ดีเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และถือว่าเป็นการออกกำลังกายอีกชนิดหนึ่งสำหรับวัยทองผ่านการเดินนั้นเอง โดยมีข้อดี คือ
- มีระบบปรับอากาศที่กรองฝุ่น ช่วยให้เดินได้อย่างมั่นใจ
- มีความปลอดภัยสูงจากการออกแบบที่เอื้อต่อคนทุกเพศทุกวัย
- สามารถควบคุมอุณหภูมิได้
- มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าพื้นที่เดิน พื้นที่นั่งพัก ห้องน้ำ หรือการรับประทานอาหาร
- การออกกำลังกายในน้ำ
การออกกำลังกายในน้ำก็สามารถลดความอ้วน และช่วยให้แข็งแรงเหมือนกับการออกกำลังกายชนิดอื่นๆ บนบกได้เช่นเดียวกันด้วย สระว่ายน้ำในร่มจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังกายในช่วงที่มีฝุ่น PM 2.5 สูง เพราะ…
- น้ำช่วยพยุงน้ำหนักตัว
- ลดแรงกระแทกต่อข้อต่อ
- เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำไมเส้นเอ็นที่ตึงยืดง่ายขึ้น
- ช่วยระบบไหลเวียนโลหิตได้ดียิ่งขึ้น สามารถช่วยลดอาการบวมตามขาได้
และเพื่อให้คุณผู้อ่านได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอย่างเต็มที่ เรามีข้อแนะนำดีๆ กับการการเสริมสร้างสมรรถภาพปอด ผ่านการการบริหารปอด ซึ่งหากทำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบหายใจ ซึ่งสำคัญมากในการรับมือกับ PM 2.5
- การฝึกหายใจแบบลึก เป็นเทคนิคการหายใจที่ถูกต้องช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของปอด
- หายใจเข้าลึกๆ ผ่านจมูก นับ 1 – 4
- กลั้นหายใจสั้นๆ นับ 1 – 2
- หายใจออกช้าๆ ผ่านปาก นับ 1 – 6
- ทำซ้ำ 5 – 10 ครั้งต่อเซต วันละ 2- 3 เซต
- การใช้อุปกรณ์บริหารปอด อุปกรณ์ช่วยฝึกการหายใจที่เหมาะสำหรับวัยทอง ได้แก่
- เครื่องฝึกหายใจแบบแรงต้าน
- ลูกบอลเป่า
- นกหวีด
*ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย
สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์
การสังเกตอาการผิดปกติ และรู้จักสัญญาณอันตรายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับวัยทองหรือใครที่ต้องอาศัยอยู่คนเดียว รวมถึงอาศัยในพื้นที่ที่มีปัญหา PM 2.5 หากพบอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
อาการเกี่ยวกับระบบหายใจ
- หายใจลำบากมากกว่าปกติ
- หายใจมีเสียงวี้ด
- ไอรุนแรงหรือไอเป็นเลือด
- เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ
- หายใจเร็วผิดปกติ
อาการทั่วไปที่ต้องระวัง
- เวียนศีรษะรุนแรง
- ปวดศีรษะไม่ทุเลา
- คลื่นไส้อาเจียน
- อ่อนเพลียผิดปกติ
- สับสนหรือมึนงง
สรุป
การรับมือกับ PM 2.5 ในวัยทองจำเป็นต้องดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งการป้องกันการสัมผัสฝุ่นโดยตรง การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการเสริมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากธรรมชาติที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต้านอนุมูลอิสระ ทำให้การป้องกันตัวเองจาก PM 2.5 ในวัยทองอาจต้องใช้ความพยายามและความระมัดระวังมากกว่าวัยอื่น แต่ด้วยการเตรียมพร้อมและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบต่อสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และคุณผู้อ่านท่านใดที่ได้ลองนำข้อแนะนำของเราปฏิบัติแล้ว อย่าลืมคอมเมนต์ หรือส่งข้อความมาบอกความคืบหน้ากันด้วยนะ ว่าเป็นยังไงบ้าง 🙂