“อาการท้องผูกในวัยทอง” เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหน้าร้อนที่มีอุณหภูมิสูง ทำให้วัยทองมีความท้าทายเพิ่มมากขึ้นในชีวิตในการรักษาสุขภาพระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในช่วงวัยนี้
“อาการท้องผูกในวัยทอง” หมายถึง ภาวะที่ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือถ่ายลำบาก อุจจาระแข็ง หรือมีความรู้สึกว่าถ่ายยังไงก็ไม่สุด ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ประมาณ 30 – 40% ของประชากรในกลุ่มวัยทอง โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 – 3 เท่าเลยทีเดียว และจากการศึกษาล่าสุดจากสมาคมแพทย์ระบบทางเดินอาหารแห่งประเทศไทยพบว่าในช่วงหน้าร้อนของประเทศไทยที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงถึง 35 – 40 องศาเซลเซียส อัตราการเกิดอาการท้องผูกในกลุ่มวัยทองเพิ่มสูงขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับฤดูกาลอื่นๆ
แล้วทำไมวัยทองจึงเสี่ยงอาการท้องผูกในหน้าร้อนมากกว่าวัยอื่น?
ทำไมวัยทองจึงเสี่ยงต่ออาการท้องผูกมากกว่าวัยอื่น
ในผู้หญิงวัยทอง การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนส่งผลกระทบต่อการทำงานของลำไส้โดยตรง ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนช่วยในการควบคุมการบีบตัวของลำไส้และการหลั่งของเมือกที่ช่วยหล่อลื่นในระบบทางเดินอาหาร เมื่อระดับฮอร์โมนลดลงส่งผลให้การบีบตัวของลำไส้ลดลงและเกิดอาการท้องผูกได้ง่ายนั่นเอง จากการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบว่า ผู้หญิงในช่วงวัยหมดประจำเดือนมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องผูกเพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวัยหมดประจำเดือน
สำหรับผู้ชายวัยทอง แม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนแบบฉับพลันเหมือนผู้หญิง แต่การลดลงของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอย่างช้าๆ ก็ส่งผลต่อมวลกล้ามเนื้อรวมถึงกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหาร ทำให้การบีบตัวของลำไส้ลดประสิทธิภาพลงเช่นเดียวกัน
นอกจากการเปลี่ยนแปลงเรื่องของฮอร์โมนเมื่อเช้าสู่วัยทองแล้ว การเปลี่ยนแปลงของระบบกล้ามเนื้อและประสาทในระบบทางเดินอาหารของวัยทองก็เริ่มอ่อนแอลง การบีบตัวเพื่อขับอุจจาระลดประสิทธิภาพ ตลอดจนระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของลำไส้ก็เสื่อมลงตามวัย ทำให้การส่งสัญญาณกระตุ้นการขับถ่ายมีความล่าช้าและไม่แม่นยำเหมือนในวัยหนุ่มสาว ทุก 10 ปี หลังอายุ 40 ปี ประสิทธิภาพในการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ลดลงประมาณ 10 – 15% ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัยทองมีความเสี่ยงต่ออาการท้องผูกเพิ่ม
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต
นอกจากปัจจัยทางร่างกายแล้ว ปัจจัยด้านพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้วัยทองมีความเสี่ยงต่ออาการท้องผูก
- การลดลงของกิจกรรมทางกาย เมื่อเข้าสู่วัยทอง ผู้คนส่วนใหญ่ก็เริ่มมีกิจกรรมทางกายลดลง ซึ่งการเคลื่อนไหวน้อยลงส่งผลโดยตรงต่อการบีบตัวของลำไส้ และเกิดปัญหาท้องผูกในที่สุด
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหาร วัยทองมักมีความอยากอาหารลดลง และอาจบริโภคอาหารที่มีกากใยน้อยลง ทำให้เกิดปัญหาท้องผูกตามมา
- การใช้ยา ในวัยทองมักมีการใช้ยาหลายชนิดเพื่อรักษาโรคต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นตามวัย ยาหลายประเภท เช่น ยาลดความดัน ยาแก้ปวด หรือยาลดกรด มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการท้องผูกได้
- ภาวะเครียดและปัญหาสุขภาพจิต วัยทองเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น การเกษียณ การสูญเสียคนใกล้ชิด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเครียดและส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมีผลต่อการเกิดอาการท้องผูก
หน้าร้อนกับอาการท้องผูกในวัยทอง
หน้าร้อนในประเทศไทยมาพร้อมกับอุณหภูมิสูงและความชื้นสูง ซึ่งสภาพอากาศเช่นนี้มีความเชื่อมโยงกับอาการท้องผูกในวัยทองอย่างมีนัยสำคัญ เพราะอะไรถึงมีความเกี่ยวข้อง ลองมาหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน
1. ภาวะขาดน้ำในหน้าร้อน
ในช่วงหน้าร้อนร่างกายของเราจะสูญเสียน้ำผ่านการเหงื่อออกมากกว่าปกติ โดยเฉพาะในวัยทองที่มีกลไกการรับรู้ความกระหายน้ำลดลง ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว เมื่อร่างกายขาดน้ำ ลำไส้ใหญ่จะดูดซึมน้ำจากกากอาหารมากขึ้น ส่งผลให้อุจจาระแข็งและแห้ง ทำให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างยากลำบาก การดื่มน้ำสำหรับวัยทองจึงมีส่วนช่วยมากๆ 05:03/68
โดยในช่วงหน้าร้อนของไทยพบว่า มีวัยทองและผู้สูงวุยเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำเพิ่มมากขึ้นถึง 45% เมื่อเทียบกับฤดูฝนหรือฤดูหนาว และผู้ที่มีภาวะขาดน้ำมีโอกาสเกิดอาการท้องผูกสูงกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่าเลยทีเดียว
2. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในฤดูร้อน
เมื่อเข้าสู่หน้าร้อน การทำกิจกรรมต่างๆ ของผู้คนโดยเฉพาะวัยทองก็เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งฤดูร้อนส่งผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของวัยทองเปลี่ยนแปลงไปในหลายด้าน อาทิ
- การลดลงของกิจกรรมกลางแจ้ง ด้วยอากาศที่ร้อนจัดในหน้าร้อน วัยทองมักหลีกเลี่ยงการออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ทำให้การเคลื่อนไหวร่างกายลดลง ส่งผลต่อการบีบตัวของลำไส้ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกตามมาได้
- การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรับประทานอาหาร ในช่วงหน้าร้อน ผู้คนรวมไปถึงวัยทองมักรับประทานอาหารที่เย็นและสด เช่น อาหารจานเดียว หรืออาหารสำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งอาหารเหล่านี้มีกากใยน้อยกว่าอาหารหลักตามฤดูกาลอื่น
- การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเพิ่มขึ้น ในหน้าร้อน…การบริโภคเครื่องดื่มเย็นที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟเย็น ชาเย็น เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งคาเฟอีนในปริมาณมากมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น
- การใช้เครื่องปรับอากาศ การอยู่ในห้องปรับอากาศเป็นเวลานานในฤดูร้อน อาจทำให้ร่างกาย-ของวัยทองสูญเสียความชุ่มชื้น ส่งผลต่อภาวะขาดน้ำและปัญหาท้องผูก
ผลกระทบของอุณหภูมิสูงต่อระบบทางเดินอาหาร
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ…การที่อุณหภูมิสูงในหน้าร้อนก็สามารถสร้างผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารโดยตรง…
- การชะลอการย่อยอาหาร เมื่อร่างกายของวัยทองอยู่ในสภาวะร้อน กระบวนการย่อยอาหารอาจชะลอลงเพื่อลดความร้อนที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญอาหาร
- การเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์ในลำไส้ อุณหภูมิสูงอาจส่งผลต่อสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยย่อยอาหารและกระตุ้นการขับถ่าย
- การเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร หน้าร้อนเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียในอาหาร ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาระบบทางเดินอาหารและส่งผลกระทบต่อการขับถ่าย
ความสัมพันธ์ระหว่างอาการท้องผูกและโรคลมแดด
ในหน้าร้อนวัยทองมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะลมแดด 01:03/68 เนื่องจากกลไกการควบคุมอุณหภูมิร่างกายเสื่อมลงตามวัย ภาวะลมแดดและภาวะขาดน้ำที่เกิดขึ้นพร้อมกันส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงระบบทางเดินอาหารลดลง ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลงและเกิดอาการท้องผูกได้
โดยผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการลมแดดในช่วงฤดูร้อน มีอัตราการเกิดอาการท้องผูกตามมาสูงถึง 60% โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยวัยทอง
ผลกระทบของอาการท้องผูกต่อคุณภาพชีวิตในวัยทอง
อาการท้องผูกในวัยทองนั้นต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยทีเดียวคุณผู้อ่าน เพราะไม่ใช่เพียงความไม่สบายทางกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อคุณภาพชีวิตในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่อาการมักรุนแรงขึ้น
เราลองมาทำความเข้าใจถึงผลกระทบในด้านต่างๆ ที่อาการท้องผูกมีต่อคุณภาพชีวิตของผู้ที่อยู่ในวัยทอง เช็กกันหน่อยว่าคุณผู้อ่านเข้าข่ายในข้อไหนบ้าง…
ผลกระทบทางด้านร่างกาย
- ความเจ็บปวดและความไม่สบายทางกาย อาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง และรู้สึกไม่สบายตัว เป็นผลกระทบโดยตรงที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยวัยทองที่มีอาการท้องผูกกว่า 60% มีอาการปวดท้องหรือแน่นท้องที่รบกวนการนอนหลับและการทำกิจวัตรประจำวัน
- ภาวะริดสีดวงทวาร การเบ่งถ่ายอุจจาระที่แข็งและยากลำบากเป็นประจำ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวงทวาร ซึ่งพบในผู้ป่วยวัยทองที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังถึง 40%
- การอักเสบและแตกของผนังลำไส้ การถ่ายอุจจาระที่แข็งและใหญ่อาจทำให้เกิดรอยแตกที่ผนังทวารหนัก ทำให้มีอาการเจ็บปวดรุนแรงและมีเลือดออก ในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่การติดเชื้อได้
- ภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่ ในวัยทองที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง อุจจาระที่ค้างอยู่ในลำไส้เป็นเวลานาน อาจทำให้กล้ามเนื้อหูรูดของทวารหนักอ่อนแรงลง ทำให้เกิดภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่ในระยะยาว
- การสูญเสียความอยากอาหาร อาการท้องผูกทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและไม่อยากอาหาร ส่งผลให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารอยู่แล้ว
- ผลกระทบต่อการดูดซึมยาและสารอาหาร ในวัยทองที่มักต้องรับประทานยาหลายชนิด อาการท้องผูกอาจส่งผลกระทบต่อการดูดซึมยาและสารอาหาร ทำให้การรักษาโรคประจำตัวอื่นๆ ไม่ได้ผลเท่าที่ควร
ผลกระทบทางด้านจิตใจและอารมณ์
- ความวิตกกังวลและความเครียด การกังวลเกี่ยวกับการไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้ตามปกติ สามารถสร้างความเครียดให้กับคุณผู้อ่านได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อต้องออกจากบ้านหรือเดินทาง งานวิจัยจากสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทยพบว่าวัยทองที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังมีระดับความเครียดสูงกว่าผู้ที่ไม่มีปัญหาดังกล่าวถึง 35%
- ภาวะซึมเศร้า อาการท้องผูกเรื้อรังในวัยทองมีความสัมพันธ์กับอาการซึมเศร้า โดยพบว่าผู้ที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังมีความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าสูงกว่าคนทั่วไป 2 – 3 เท่า ทั้งจากความไม่สบายทางกายโดยตรงและจากผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
- รบกวนการนอนหลับ อาการไม่สบายท้อง ท้องอืด หรือแน่นท้องส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอนหลับ ทำให้นอนหลับยากและตื่นบ่อยในเวลากลางคืน การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลต่ออารมณ์และความสามารถในการจัดการกับความเครียด โดยเฉพาะการนอนในช่วงหน้าร้อน 07:03/68
- ความรู้สึกอับอายและขาดความมั่นใจ อาการท้องผูกอาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือท้องอืดที่สังเกตเห็นได้ สร้างความอับอายและขาดความมั่นใจในการเข้าสังคม โดยเฉพาะในวัยทองที่อาจมีความกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์อยู่แล้ว
- ความรู้สึกสูญเสียการควบคุม วัยทองที่เคยมีระบบขับถ่ายปกติแต่เริ่มมีปัญหาท้องผูก อาจรู้สึกว่าสูญเสียการควบคุมเหนือร่างกายตนเอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง
ผลกระทบต่อกิจกรรมทางสังคมและการทำงาน
- การหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคม ความกังวลเกี่ยวกับการต้องใช้ห้องน้ำสาธารณะหรือการเกิดอาการไม่สบายท้องขณะอยู่นอกบ้าน ทำให้หลายคนเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม โดยพบว่า 45% ของวัยทองที่มีอาการท้องผูกเรื้อรังยอมรับว่าลดการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม
- การขาดงานหรือประสิทธิภาพการทำงานลดลง อาการปวดท้อง ไม่สบายตัว หรือการต้องเข้าห้องน้ำบ่อยครั้งเพื่อพยายามถ่ายอุจจาระ ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน โดยพบว่าวัยทองที่ยังทำงานและมีอาการท้องผูกเรื้อรังมีอัตราการขาดงานสูงกว่าคนทั่วไปถึง 25%
- ข้อจำกัดในการเดินทาง การวางแผนเดินทางโดยเฉพาะการเดินทางระยะไกลเป็นเรื่องยากสำหรับวัยทองที่มีอาการท้องผูก ต้องคำนึงถึงการเข้าถึงห้องน้ำและการจัดการกับอาการไม่สบายระหว่างทาง
ผลกระทบที่รุนแรงในกรณีไม่ได้รับการรักษา
- ภาวะอุจจาระอัดแน่นในลำไส้ ภาวะที่อุจจาระแข็งและอัดแน่นในลำไส้ใหญ่จนไม่สามารถขับออกได้ด้วยวิธีปกติ จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์
- การอักเสบของลำไส้ การมีอุจจาระค้างอยู่ในลำไส้เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการอักเสบของผนังลำไส้ นำไปสู่ภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรัง
- ลำไส้ยื่น แรงเบ่งที่มากเกินไปเป็นประจำอาจทำให้ลำไส้ส่วนปลายยื่นออกมาทางทวารหนัก ซึ่งต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไข
- ภาวะลำไส้อุดตัน ในกรณีรุนแรง อาการท้องผูกอาจนำไปสู่ภาวะลำไส้อุดตัน ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาทันที
จะเห็นได้ว่าอาการท้องผูกในวัยทองไม่ใช่เพียงความไม่สบายธรรมดา แต่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อคุณภาพชีวิตในทุกมิติ ทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ การตระหนักถึงผลกระทบเหล่านี้จะช่วยให้เห็นความสำคัญของการป้องกันและรักษาอาการท้องผูกในวัยทองอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น
สัญญาณเตือนอาการท้องผูกในวัยทองที่ไม่ควรมองข้าม
อาการท้องผูกในวัยทองอาจมีอาการและสัญญาณเตือนที่แตกต่างจากวัยอื่นๆ ลองมาดูวิธีสังเกตที่จะช่วยให้สามารถจัดการกับปัญหาได้ทันท่วงทีก่อนที่จะลุกลามเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
- ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ นี่เป็นเกณฑ์ทั่วไปที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยอาการท้องผูก
- อุจจาระแข็งและแห้ง ลักษณะอุจจาระที่แข็ง เป็นก้อน หรือเป็นเม็ดเล็กๆ คล้ายมูลแพะ บ่งชี้ถึงการท้องผูก
- ต้องออกแรงเบ่งมากเกินไป การต้องออกแรงเบ่งอย่างมากเพื่อถ่ายอุจจาระเป็นสัญญาณของอาการท้องผูก
- ความรู้สึกถ่ายไม่สุด รู้สึกว่ายังมีอุจจาระค้างอยู่ในลำไส้แม้จะถ่ายแล้ว
- ความรู้สึกมีสิ่งอุดตันในทวารหนัก รู้สึกเหมือนมีสิ่งอุดกั้นทำให้อุจจาระผ่านออกมาไม่ได้
- ต้องช่วยเหลือด้วยมือเพื่อให้ถ่ายได้ บางคนอาจต้องใช้นิ้วกดบริเวณช่องคลอดหรือทวารหนักเพื่อช่วยให้ถ่ายอุจจาระได้
สัญญาณเตือนที่ต้องระวังเป็นพิเศษในช่วงหน้าร้อน
- อาการวิงเวียนศีรษะร่วมกับท้องผูก อาการนี้อาจบ่งชี้ถึงภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาการท้องผูกในหน้าร้อนสำหรับวัยทอง
- ปวดท้องรุนแรงร่วมกับท้องผูก ในช่วงหน้าร้อน การปวดท้องรุนแรงร่วมกับอาการท้องผูกอาจเป็นสัญญาณของภาวะลำไส้อุดตัน ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
- เหงื่อออกน้อยลงแต่รู้สึกร้อนมาก อาการนี้อาจบ่งชี้ถึงภาวะลมแดดซึ่งมักมาพร้อมกับอาการท้องผูก โดยเฉพาะในวัยทองและผู้สูงอายุ
- ปัสสาวะสีเข้มและมีปริมาณน้อย สัญญาณของภาวะขาดน้ำที่มักพบร่วมกับอาการท้องผูกในหน้าร้อน
- ผิวแห้งและขาดความยืดหยุ่น เมื่อบีบผิวหนังแล้วไม่คืนตัวเร็วเท่าที่ควร เป็นสัญญาณของการขาดน้ำซึ่งสัมพันธ์กับอาการท้องผูกในวัยทอง
วิธีแก้ไขอาการท้องผูกในวัยทองช่วงหน้าร้อน
แม้อาการท้องผูกของวัยทองในช่วงหน้าร้อนจะเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย แต่ก็สามารถจัดการได้ด้วยวิธีการที่เหมาะสม การแก้ไขปัญหานี้ต้องมีการผสมผสานการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การบริโภคอาหาร วิธีแก้ไขจากยาก หรือง่าย ลองมาสำรวจไปพร้อมๆ กัน
1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ เป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการป้องกันและแก้ไขอาการท้องผูกในช่วงหน้าร้อน โดยเฉพาะในวัยทองที่กลไกการรับรู้ความกระหายน้ำอาจลดลง
- ปริมาณน้ำที่แนะนำ ผู้ที่อยู่ในวัยทองควรดื่มน้ำอย่างน้อย 2 – 2.5 ลิตรต่อวันในช่วงหน้าร้อน หรือประมาณ 8 – 10 แก้วต่อวัน โดยอาจเพิ่มขึ้นเป็น 3 ลิตรในวันที่อากาศร้อนจัด
- เทคนิคการดื่มน้ำ ควรดื่มน้ำบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำ การดื่มน้ำก่อนอาหารเช้าประมาณ 30 นาที ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบทางเดินอาหารได้ดี
- การติดตามปริมาณน้ำที่ดื่ม ใช้ขวดน้ำที่มีขีดบอกปริมาณ หรือแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนเพื่อติดตามปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวัน การเพิ่มปริมาณน้ำดื่มเป็น 2.5 ลิตรต่อวัน ช่วยลดอาการท้องผูกในวัยทองได้ถึง 58% ภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์
- เครื่องดื่มที่แนะนำ นอกจากน้ำเปล่าแล้ว ยังสามารถดื่มน้ำสมุนไพร เช่น น้ำใบเตย น้ำกระเจี๊ยบ หรือน้ำมะตูม ซึ่งช่วยเพิ่มความสดชื่นและมีสรรพคุณช่วยระบบขับถ่าย
2. ปรับเปลี่ยนอาหารที่รับประทาน
อาหารที่รับประทานมีผลโดยตรงต่อระบบขับถ่าย การปรับเปลี่ยนอาหารให้เหมาะสมในหน้าร้อน จะช่วยบรรเทาอาการท้องผูกในวัยทองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพิ่มการบริโภคอาหารที่มีกากใย วัยทองควรรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารสูง โดยเฉพาะกากใยที่ละลายน้ำได้ ซึ่งพบในผลไม้ เช่น แอปเปิล มะละกอ ส้ม และธัญพืช
- ผักใบเขียว ผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม ผักบุ้ง มีกากใยสูงและมีน้ำเป็นส่วนประกอบมาก ช่วยทั้งเรื่องการเพิ่มกากใยและน้ำ
- ธัญพืชไม่ขัดสี ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีท มีกากใยสูงและช่วยในการขับถ่าย
- โพรไบโอติก อาหารที่มีโพรไบโอติก เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว กิมจิ ช่วยปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
พบว่าวัยทองที่เพิ่มการบริโภคกากใยอาหารเป็น 30 กรัมต่อวัน ร่วมกับการดื่มน้ำที่เพียงพอสามารถลดอาการท้องผูกได้ถึง 75% ภายใน 4 สัปดาห์เลยทีเดียว เป็นการดีท็อกซ์ร่างกายอีกหนึ่งวิธี 04:01/68
3. ออกกำลังกายที่เหมาะสมกับอากาศหน้าร้อน
การออกกำลังกายสามารถช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ และการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร แต่ในช่วงหน้าร้อนต้องเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพอากาศ
- การเดินในห้างสรรพสินค้าหรือพื้นที่ปรับอากาศ การเดินประมาณ 30 นาทีต่อวัน ในพื้นที่ปรับอากาศเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงหน้าร้อนต่อวัยทอง
- ว่ายน้ำ เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมที่สุดในช่วงอากาศร้อน ช่วยให้ร่างกายเคลื่อนไหวโดยไม่เกิดความร้อนสะสม และทำให้ร่างกายสดชื่นในหน้าร้อน
- โยคะ การทำโยคะในช่วงเช้าหรือเย็นช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบทางเดินอาหารและลดความเครียดได้
- การออกกำลังกายในน้ำ การออกกำลังกายในสระว่ายน้ำเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับวัยทองหรือผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าหรือข้อต่อ
- การแกว่งแขน เป็นการออกกำลังกายแบบจีนที่ทำได้ง่ายในพื้นที่จำกัด ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและระบบทางเดินอาหาร
การออกกำลังกายอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอของวัยทอง จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อระบบขับถ่าย ไม่เกิดอาการท้องผูกแม้ในหน้าร้อนก็ตาม โดยผลลัพธ์ที่วัยทองสามารถคาดหวังได้ ประกอบด้วย
- การขับถ่ายที่สม่ำเสมอมากขึ้น โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลภายใน 2 – 4 สัปดาห์หลังเริ่มออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- อุจจาระมีความนุ่มและขับถ่ายง่ายขึ้น เนื่องจากการออกกำลังกายช่วยให้การบีบตัวของลำไส้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ลดอาการท้องอืด แน่นท้อง และลมในลำไส้ จากการที่ลำไส้มีการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น
- ความรู้สึกสบายท้องและสดชื่นหลังขับถ่าย เมื่อระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดการพึ่งพายาระบาย เมื่อการขับถ่ายเป็นไปตามธรรมชาติมากขึ้น
จากการศึกษาระยะยาวจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์พบว่า วัยทองที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 6 เดือนขึ้นไป มีอัตราการเกิดอาการท้องผูกลดลงถึง 60% และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในหลากหลายด้าน
4. นวดกดจุดและการบริหารร่างกายเฉพาะจุด
การนวดกดจุดและการบริหารร่างกายเฉพาะจุด สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่ายได้ โดยเฉพาะในวัยทองที่อาจมีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- การนวดท้อง วัยทองสามารถนวดท้องเบาๆ ในทิศทางตามเข็มนาฬิกาวันละ 5 – 10 นาที จะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
- การกดจุด มีจุดสำคัญบนร่างกายที่เกี่ยวข้องกับระบบขับถ่าย เช่น จุดที่ฝ่าเท้า (จุดตับ – จุดลำไส้ใหญ่) จุดที่ข้อมือด้านใน และจุดที่ท้อง ใต้สะดือประมาณ 3 นิ้ว
- การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องเบาๆ วันละ 10 – 15 นาที ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการขับถ่าย
- การฝึกการหายใจหน้าท้อง การหายใจลึกๆ โดยให้หน้าท้องพองขึ้นขณะหายใจเข้า และยุบลงขณะหายใจออก ช่วยนวดอวัยวะภายในและกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
5. สร้างนิสัยการขับถ่ายที่ดี
การสร้างนิสัยการขับถ่ายที่ดีและสม่ำเสมอ ช่วยให้ร่างกายของวัยทองสามารถปรับตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การตั้งเวลาขับถ่าย พยายามเข้าห้องน้ำในเวลาเดียวกันทุกวัน โดยเฉพาะหลังอาหารเช้า เพื่อให้ร่างกายเกิดความเคยชิน
- ไม่ควรกลั้นอุจจาระ เมื่อรู้สึกปวดถ่าย วัยทองควรเข้าห้องน้ำทันที การกลั้นอุจจาระทำให้น้ำถูกดูดซึมออกจากอุจจาระมากขึ้น ทำให้อุจจาระแข็งและขับถ่ายยากขึ้น
- ท่านั่งที่ถูกต้อง นั่งในท่าที่เข่าสูงกว่าสะโพกเล็กน้อย การใช้ม้านั่งเล็กๆ รองเท้า จะช่วยให้ลำไส้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการขับถ่าย
- ให้เวลาตัวเอง วัยทองไม่ควรเร่งรีบขณะขับถ่าย ควรให้เวลาร่างกายอย่างเพียงพอ แต่ไม่ควรนั่งบนโถส้วมนานเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดริดสีดวงทวารได้
- หลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือหรือเล่นโทรศัพท์ขณะขับถ่าย การมีสมาธิกับการขับถ่ายช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานสอดคล้องกันดีขึ้น
6. การจัดการความเครียด
ความเครียดมีผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบทางเดินอาหาร การจัดการความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยลดอาการท้องผูกได้
- การฝึกหายใจลึกๆ การหายใจลึกๆ ช้าๆ ช่วยลดความเครียดและกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
- การทำสมาธิ การนั่งสมาธิวันละ 10 – 15 นาที ช่วยลดความเครียดและปรับสมดุลการทำงานของร่างกาย
- การทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ เช่น การฟังเพลง การอ่านหนังสือ หรือการทำงานอดิเรก ช่วยผ่อนคลายความเครียด
- การนอนหลับที่เพียงพอ การนอนหลับอย่างมีคุณภาพอย่างน้อย 7 – 8 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาหารที่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกสำหรับวัยทอง
วิธีป้องกันอาการท้องผูกในหน้าร้อนแบบโดยรวมไปแล้ว ลองมาดูสิ่งใกล้ตัวอย่างอาหารการกินกันบ้างดีกว่า เพราะโภชนาการเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อระบบขับถ่ายและสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกในวัยทองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่ร่างกายมีความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำสูง การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้และช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น
อาหารที่อุดมไปด้วยใยอาหาร (Dietary Fiber)
ใยอาหาร เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้และเพิ่มปริมาตรของอุจจาระ ทำให้อุจจาระนุ่มและผ่านลำไส้ได้ง่ายขึ้น แพทย์แนะนำให้วัยทองควรได้รับใยอาหารประมาณ 25-30 กรัมต่อวัน อาหารที่มีใยอาหารสูงที่เหมาะกับวัยทอง
1. ผักใบเขียว
ผักใบเขียวนานาชนิด เช่น คะน้า ผักบุ้ง ผักกาดขาว และผักโขม นอกจากจะมีใยอาหารสูงแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น แมกนีเซียม ซึ่งช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ การรับประทานผักใบเขียววันละ 2 – 3 ทัพพี สามารถช่วยลดอาการท้องผูกในวัยทองได้ถึง 40%
2. ผลไม้สด
ผลไม้สดหลายชนิด มีทั้งใยอาหารและน้ำ ซึ่งช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ดี แต่สิ่งสำคัญ คือ การเลือกทานและหลีกเลี่ยงผลไม้ที่ไม่ดีต่อวัยทอง 15:02/68 ผลไม้ที่แนะนำเป็นพิเศษสำหรับวัยทองที่มีปัญหาท้องผูก ได้แก่
- มะละกอ อุดมไปด้วยเอนไซม์ปาเปนที่ช่วยในการย่อยโปรตีนและช่วยการขับถ่าย
- สับปะรด มีเอนไซม์โบรมีเลน ที่ช่วยย่อยอาหารและลดการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร
- กล้วย เป็นแหล่งของใยอาหารละลายน้ำและโพแทสเซียม ช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย
- แอปเปิ้ล มีสารเพคตินซึ่งเป็นใยอาหารประเภทละลายน้ำที่ช่วยดูดซับน้ำและทำให้อุจจาระนุ่มขึ้น
- ลูกพรุน มีทั้งใยอาหารและสารไดเฟนิลไอโซทินที่มีฤทธิ์กระตุ้นลำไส้โดยตรง
3. ธัญพืชไม่ขัดสี
ธัญพืชไม่ขัดสีเป็นแหล่งสำคัญของใยอาหารทั้งชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ อาหารในกลุ่มนี้ที่เหมาะสำหรับวัยทอง ได้แก่
- ข้าวกล้อง
- ข้าวโอ๊ต
- ขนมปังโฮลเกรน
- ควินัว
- บาร์เลย์
4. ถั่วเมล็ดแห้ง
ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเขียว และถั่วลันเตา เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีที่มีใยอาหารสูงต่อวัยทอง การรับประทานถั่วสัปดาห์ละ 3 – 4 มื้อ สามารถช่วยเพิ่มการขับถ่ายและป้องกันอาการท้องผูกได้
อาหารที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในลำไส้
1. อาหารที่มีน้ำมากและช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
ในช่วงหน้าร้อน แนะนำให้วัยทองรับประทานอาหารที่มีน้ำมาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับลำไส้และป้องกันภาวะขาดน้ำ ได้แก่
- แตงโม มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 92% และมีไลโคพีนที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
- แตงกวา มีน้ำประมาณ 95% และใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย
- ส้ม อุดมไปด้วยวิตามินซี น้ำ และใยอาหารที่ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย
- เมลอน มีน้ำมากและยังมีโพแทสเซียมที่ช่วยรักษาสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย
- มะเขือเทศ มีน้ำและกรดที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้
2. น้ำซุปและน้ำแกง
อาหารประเภทน้ำซุปและน้ำแกงไทยช่วยเพิ่มการบริโภคน้ำ และยังได้สารอาหารจากผักและสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบ โดยเฉพาะอาหารประเภทแกงที่มีสมุนไพรที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบทางเดินอาหาร เช่น ข่า ตะไคร้ และขิง
- แกงส้ม
- ต้มยำ
- แกงจืด
- น้ำพริกผักต้ม
อาหารที่มีโพรไบโอติก (Probiotics)
โพรไบโอติก คือ จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้และส่งเสริมการขับถ่าย อาหารที่มีโพรไบโอติกที่เหมาะกับวัยทอง ได้แก่
- โยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์มีชีวิต โยเกิร์ตที่ระบุว่ามีจุลินทรีย์มีชีวิต เช่น Lactobacillus หรือ Bifidobacterium จะช่วยเพิ่มแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้
- นมเปรี้ยว เป็นแหล่งของโพรไบโอติกที่ดีและง่ายต่อการบริโภคในชีวิตประจำวัน
- กิมจิ อาหารหมักดองที่มีจุลินทรีย์มีชีวิตและใยอาหารจากผัก
- ผักดอง อาหารไทยประเภทผักดองต่างๆ ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้
งานวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลพบว่า การบริโภคโยเกิร์ตที่มีโพรไบโอติกอย่างน้อยวันละ 1 ถ้วย สามารถลดอาการท้องผูกในวัยทองได้ถึง 30% ภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์
อาหารที่มีพรีไบโอติก (Prebiotics)
พรีไบโอติก คือ สารอาหารที่ไม่สามารถย่อยได้แต่เป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์เหล่านั้น อาหารที่มีพรีไบโอติกสูง ได้แก่
- หัวหอม กระเทียม และต้นหอม มีสารอินนูลิน ซึ่งเป็นพรีไบโอติกที่ช่วยส่งเสริมการเจริญของแบคทีเรียที่มีประโยชน์
- แก่นตะวัน เป็นแหล่งของอินนูลินที่ดีเยี่ยม
- กล้วย นอกจากมีใยอาหารแล้ว ยังมีสารฟรุกโตโอลิโกแซ็กคาไรด์ที่เป็นพรีไบโอติกชั้นดี
- ถั่วต่างๆ มีทั้งใยอาหารและสารพรีไบโอติกที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพลำไส้
อาหารที่มีน้ำมันธรรมชาติ
น้ำมันธรรมชาติบางชนิด มีคุณสมบัติในการหล่อลื่นลำไส้และช่วยให้อุจจาระเคลื่อนตัวได้ง่ายขึ้น อาหารที่มีน้ำมันธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกสำหรับวัยทอง ได้แก่
- น้ำมันมะกอก มีคุณสมบัติในการหล่อลื่นลำไส้และมีสารต้านอักเสบ การรับประทานน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 1 ช้อนโต๊ะ ในขณะท้องว่างยามเช้าสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้
- อะโวคาโด อุดมไปด้วยไขมันดีและใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายของวัยทอง
- เมล็ดแฟลกซ์ (Flaxseed) มีกรดไขมันโอเมก้า – 3 และใยอาหารสูง ช่วยในการหล่อลื่นลำไส้และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ การบดเมล็ดแฟลกซ์แล้วผสมในอาหารหรือเครื่องดื่มวันละ 1 – 2 ช้อนโต๊ะสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เมล็ดเจีย (Chia seeds) เมื่อแช่น้ำเมล็ดเจียจะพองตัวเป็นเจลที่ช่วยหล่อลื่นลำไส้และทำให้อุจจาระนุ่มขึ้น
เครื่องดื่มที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
การดื่มน้ำและเครื่องดื่มที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูก โดยเฉพาะในช่วหน้าร้อนร้อนที่วัยทองมีความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำสูง นอกจากน้ำดื่มสะอาดแล้ว เรามีเครื่องดื่มอื่นๆ มาแนะนำ ได้แก่
1. น้ำผลไม้ธรรมชาติ
- น้ำลูกพรุน มีสารที่ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้โดยตรง
- น้ำแอปเปิ้ล อุดมไปด้วยเพคตินที่ช่วยดูดซับน้ำในลำไส้
- น้ำมะละกอ มีเอนไซม์ปาเปนที่ช่วยย่อยโปรตีนและกระตุ้นการขับถ่าย
- น้ำมะเขือเทศ มีกรดที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้
ชาสมุนไพร
ชาสมุนไพรบางชนิดมีสรรพคุณในการกระตุ้นระบบขับถ่ายให้กับวัยทอง และบรรเทาอาการท้องผูกในหน้าร้อน
- ชามะขามแขก มีสารแอนทราควิโนนที่มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ
- ชาขิง ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้และบรรเทาอาการแน่นท้อง
- ชามะขาม มีกรดทาร์ทาริกที่ช่วยระบาย
- ชาดอกคำฝอย มีฤทธิ์อ่อนๆ ในการกระตุ้นการขับถ่าย
จากที่แนะนำให้คุณผู้อ่านมองดูแล้วรู้สึกว่ายากและต้องเหนื่อยแน่ๆ เลยใช่ไหมคุณผู้อ่าน เพราะมันเยอะจริงๆ เชื่อว่าต้องมีคุณผู้อ่านไม่น้อยที่อยากทำตาม แต่จะทานทั้งหมดก็คงไม่ไหว เรามีตัวช่วยดีๆ มานำเสนออีกเช่นเคย เพียงทาน 1 แคปซูลต่อวันก็ได้ดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้นกับ…
ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) นวัตกรรมเพื่อสุขภาพวัยทองของคุณผู้หญิงโดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดแคปซูลที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทอง จากส่วนประกอบธรรมชาติ 6 ชนิดที่ได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาสุขภาพในวัยทอง รวมถึงอาการท้องผูกที่มักพบในช่วงฤดูร้อน
- สารสกัดจากถั่วเหลืองนำเข้าจากประเทศสเปน มีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยเสริมสุขภาพในวัยทอง ช่วยบรรเทาการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในวัยทอง ไอโซฟลาโวนในถั่วเหลืองช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบทางเดินอาหารได้อย่างอ่อนโยน
- ตังกุยหรือโสมผู้หญิง สมุนไพรที่มีการใช้ในการแพทย์แผนจีนมาอย่างยาวนาน มีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน บำรุงเลือด และมีฤทธิ์ช่วยขับลม ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูกในวัยทอง
- แปะก๊วย มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในวัยทองที่การไหลเวียนของเลือดอาจเริ่มเสื่อมถอยลง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่เสี่ยงต่อภาวะลมแดด
- งาดำ อุดมไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็น วิตามินอี แคลเซียม และใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย และที่สำคัญคือช่วยในเรื่องการขับถ่าย งาดำช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ลำไส้ ทำให้อุจจาระนุ่มและขับถ่ายได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในช่วงหน้าร้อนที่ร่างกายวัยทองสูญเสียน้ำมากกว่าปกติ
- แครนเบอร์รี่ ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และมีคุณสมบัติช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ในช่วงหน้าร้อนที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะขาดน้ำและการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร แครนเบอร์รี่จึงมีประโยชน์อย่างมากในการช่วยรักษาสมดุลของระบบขับถ่าย
- อินูลิน เป็นใยอาหารที่ละลายน้ำได้และเป็นพรีไบโอติกที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ส่งผลต่อการย่อยอาหารและการขับถ่าย อินูลินช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ เพิ่มปริมาณและความนุ่มของอุจจาระ ทำให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างสะดวกและสม่ำเสมอ
*ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ด้วยส่วนผสมที่ครอบคลุมทั้งการปรับสมดุลฮอร์โมน เพิ่มความชุ่มชื้นในลำไส้ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดี และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) นวัตกรรมเพื่อสุขภาพวัยทองของคุณผู้หญิง เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการดูแลสุขภาพระบบขับถ่ายในช่วงฤดูร้อนที่มีความท้าทายเพิ่มเติมจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น
แนะนำให้คุณผู้อ่านรับประทานวันละ 1 แคปซูล หลังอาหารเช้าหรืออาหารเย็น พร้อมน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิปกติ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ยิ่งรับประทานอย่างต่อเนื่องก็เปรียบเสมือนเป็นกุญแจสำคัญในการเห็นผลลัพธ์ที่ดี
และมั่นใจได้อย่าง 100% เพราะ ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ได้ผ่านการรับรองและขึ้นทะเบียนกับ อย. ของประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้รับมาตรฐานการผลิตระดับฮาลาลอีกด้วย
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้มีปัญหาท้องผูก
ในขณะที่บางอาหารช่วยบรรเทาอาการท้องผูก อาหารบางประเภทอาจทำให้อาการท้องผูกรุนแรงขึ้น วัยทองควรหลีกเลี่ยงหรือจำกัดอาหารต่อไปนี้:
1. อาหารที่มีแป้งขัดขาวและน้ำตาลสูง
อาหารประเภทแป้งขัดขาว น้ำตาลมักมีใยอาหารต่ำ และอาจทำให้อาการท้องผูกของวัยทองนั้นแย่ลงได้ เช่น
- ข้าวขาว
- ขนมปังขาว
- บะหมี่
- ขนมหวาน
- เค้กและคุกกี้
2. อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง
อาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว จะย่อยยากและทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง ได้แก่
- เนื้อสัตว์ติดมัน
- อาหารทอด
- อาหารฟาสต์ฟู้ด
- ครีมและเนยในปริมาณมาก
3. อาหารที่ทำให้ท้องอืด
อาหารบางชนิดอาจทำให้เกิดแก๊สและท้องอืด ซึ่งอาจทำให้รู้สึกไม่สบายท้องและส่งผลต่อการขับถ่าย เช่น
- ถั่วบางชนิด (ควรแช่น้ำก่อนปรุง)
- กะหล่ำปลี
- หัวหอมดิบในปริมาณมาก
- น้ำอัดลม
4. เครื่องดื่มที่ควรจำกัด
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง กาแฟ ชา และน้ำอัดลมที่มีคาเฟอีน มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ อาจทำให้ร่างกายของวัยทองสูญเสียน้ำและเกิดภาวะขาดน้ำได้
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ร่างกายขาดน้ำและส่งผลเสียต่อระบบทางเดินอาหาร
- เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง น้ำหวาน และน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลสูง ไม่มีประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย
สรุป
การดูแลสุขภาพระบบขับถ่ายในวัยทองอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การดื่มน้ำให้เพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการสังเกตความผิดปกติของระบบขับถ่าย จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแม้ในช่วงอากาศร้อนของเมืองไทย
การลงทุนเวลาเพื่อดูแลสุขภาพระบบขับถ่ายของวัยทองอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือความสบายในชีวิตประจำวันและการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว นับเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่คุ้มค่าอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทอง