เชื่อว่าคุณผู้อ่านทุกท่านน่าจะเคยได้ยินชื่อแร่ธาตุ “สังกะสี (Zinc)” กันมาบ้างแล้ว แต่แร่ธาตุชนิดนี้ก็อาจเป็นแร่ธาตุที่ไม่ได้รับความสนใจมากนัก เมื่อเทียบกับแคลเซียมหรือเหล็ก แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทองสังกะสีกลับเป็นหนึ่งในแร่ธาตุสำคัญที่มีบทบาทต่อสุขภาพอย่างน่าประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพอากาศร้อนของประเทศไทย ที่อุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียสหรือมากกว่า การสูญเสียเกลือแร่และแร่ธาตุต่างๆ รวมถึงสังกะสีผ่านเหงื่อจะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ภาวะขาดสังกะสีที่อาจมีอยู่แล้วยิ่งรุนแรงขึ้นในช่วงหน้าร้อน หลายคนอาจไม่ทราบว่าการขาดสังกะสีมักมีอาการแย่ลงในช่วงหน้าร้อน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตในวัยที่กำลังเปลี่ยนผ่านเช่นนี้
“สังกะสี (Zinc)” เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อย แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนการทำงานของร่างกายมากกว่า 300 กระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน การสังเคราะห์โปรตีน การรักษาบาดแผล กระบวนการเมแทบอลิซึม และการทำงานของฮอร์โมน สังกะสียังมีบทบาทสำคัญในการบำรุงผิวพรรณ เส้นผม และเล็บให้แข็งแรง ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายคนในวัยทองมักกังวล
เพราะเมื่อคุณผู้อ่านได้เข้าสู่ “วัยทอง” ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา ฮอร์โมน และเมแทบอลิซึม ทำให้ความต้องการสารอาหารบางชนิดเปลี่ยนไป และในช่วงวัยนี้เองปริมาณสังกะสีที่ดูดซึมได้ก็อาจลดลง ในขณะที่ความต้องการกลับเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับระบบภูมิคุ้มกันที่เริ่มอ่อนแอลง จึงไม่น่าแปลกใจที่พบว่าผู้สูงวัยเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการขาดสังกะสีมากกว่าคนวัยอื่น
อยากให้คุณผู้อ่านติดตามอ่านจนจบ เพื่อรับทราบข้อมูลและเริ่มดูแลสุขภาพไปพร้อมๆ กัน ไปทำความเข้าใจกันให้ลึกซึ้งต่อเลย…
ความเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในวัยทองที่ส่งผลต่อระดับสังกะสี
- การดูดซึมที่ลดลง เมื่ออายุมากขึ้นและก้าวเข้าสู่วัยทองประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารของระบบทางเดินอาหารก็จะลดลงตามไปด้วย รวมถึงความสามารถในการดูดซึมสังกะสี โดยจากการศึกษาพบว่าวัยทองและผู้สูงอายุมีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารลดลง ซึ่งจำเป็นต่อการดูดซึมสังกะสีต่อร่างกาย
- การเปลี่ยนแปลงของเอนไซม์ เอนไซม์ที่ช่วยในกระบวนการเมแทบอลิซึมของสังกะสีมีประสิทธิภาพลดลงในวัยทอง ทำให้การใช้ประโยชน์จากสังกะสีที่ได้รับไม่เต็มที่
- การรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป วัยทองและผู้สูงวัยมักจะมีความอยากอาหารที่ลดลง หรือมีข้อจำกัดในการเคี้ยวอาหารบางประเภท ทำให้อาจหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสังกะสีสูง เช่น เนื้อแดง หอยนางรม หรือถั่วต่างๆ
- การใช้ยาเพิ่มขึ้น ในวัยทองมักมีการใช้ยาหลายชนิดเพื่อรักษาโรคประจำตัว ซึ่งยาบางประเภท เช่น ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาขับปัสสาวะ หรือยาลดความดันโลหิต สามารถส่งผลต่อการดูดซึมหรือการขับถ่ายสังกะสีออกจากร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนกับระดับสังกะสีในวัยทอง
- ผู้หญิงวัยทอง ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงในช่วงวัยหมดประจำเดือน มีความสัมพันธ์กับการลดลงของระดับสังกะสีในร่างกาย เนื่องจากเอสโตรเจนมีส่วนช่วยในการควบคุมการดูดซึมและการเก็บรักษาแร่ธาตุต่างๆ รวมถึงสังกะสี
- เอสโตรเจนและสังกะสี ช่วยในการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเอสโตรเจนการขาดสังกะสีอาจทำให้การลดลงของเอสโตรเจนในวัยหมดประจำเดือนรุนแรงขึ้น
- การบรรเทาอาการวัยทอง มีการศึกษาพบว่าการเสริมสังกะสีในปริมาณที่เหมาะสมสามารถช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ และอาการเหงื่อออกกลางคืนในผู้หญิงวัยทองได้
- สุขภาพกระดูก สังกะสีทำงานร่วมกับเอสโตรเจนในการรักษามวลกระดูก การขาดสังกะสีจึงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนในผู้หญิงวัยทองที่มีระดับเอสโตรเจนลดลงอยู่แล้ว
- ผู้ชายวัยทอง การลดลงของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในผู้ชายวัยทองก็มีผลต่อระดับสังกะสีเช่นกัน เนื่องจากสังกะสีมีบทบาทสำคัญในการผลิตฮอร์โมนเพศชาย การขาดสังกะสีจึงอาจนำไปสู่การลดลงของเทสโทสเตอโรน และในทางกลับกัน ระดับเทสโทสเตอโรนที่ลดลงก็ส่งผลให้การใช้และเก็บรักษาสังกะสีในร่างกายเปลี่ยนแปลงไป
- เทสโทสเตอโรนและสังกะสี เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระบวนการผลิตเทสโทสเตอโรน โดยผู้ชายที่ได้รับสังกะสีเสริมมีระดับเทสโทสเตอโรนในเลือดสูงขึ้น
- สมรรถภาพทางเพศ ภาวะขาดสังกะสีในผู้ชายวัยทองมีความสัมพันธ์กับการลดลงของความต้องการทางเพศและปัญหาสมรรถภาพทางเพศ
- ภาวะต่อมลูกหมากโต สังกะสีมีบทบาทในการควบคุมระดับไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (DHT) ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะต่อมลูกหมากโต การรักษาสมดุลของสังกะสีจึงอาจช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะนี้ได้
ความต้องการสังกะสีที่เพิ่มขึ้นในวัยทอง
- ระบบภูมิคุ้มกันที่เสื่อมถอย วัยทองเป็นช่วงที่ระบบภูมิคุ้มกันเริ่มอ่อนแอลง การรักษาระดับสังกะสีที่เพียงพอจึงมีความสำคัญเพื่อสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ดีนั่นเอง
- การซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ช้าลง กระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการหายของบาดแผลช้าลงในวัยทอง ซึ่งต้องการสังกะสีมากขึ้นเพื่อสนับสนุนกระบวนการเหล่านี้ให้ทำงานได้ปกติ
- ความเครียดออกซิเดชัน ร่างกายในวัยทองมีระดับความเครียดออกซิเดชันสูงขึ้น สังกะสีเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ จึงต้องการมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับอนุมูลอิสระที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย
เหตุใดอาการขาดสังกะสีจึงแย่ลงในหน้าร้อน?
อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่า…หน้าร้อนของประเทศไทยที่มีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียสหรือมากกว่าก็สามารถเป็นไปได้ ด้วยอุณหภูมิที่สูงขนาดนี้ไม่เพียงทำให้วัยทองเหนื่อยล้าและเป็นลมแดดได้ง่าย แต่ยังส่งผลทำให้อาการขาดสังกะสีแย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ
หลายคนอาจสงสัยว่า? เหตุใดสภาพอากาศถึงมีอิทธิพลต่อภาวะขาดแร่ธาตุมากเช่นนี้ เพราะในสภาพอากาศร้อน ร่างกายของวัยทองมักพยายามรักษาอุณหภูมิให้คงที่ด้วยการขับเหงื่อมากขึ้น เหงื่อไม่ได้ประกอบด้วยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีแร่ธาตุสำคัญหลายชนิดรวมถึงสังกะสี แม้ปริมาณสังกะสีในเหงื่อแต่ละครั้งจะมีเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อมีการขับเหงื่อปริมาณมากและต่อเนื่องในหน้าร้อน การสูญเสียสะสมนี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
การศึกษาทางการแพทย์พบว่าในช่วงที่มีการขับเหงื่อมาก โดยเฉพาะในวัยทองที่ชอบออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งในหน้าร้อน อาจสูญเสียสังกะสีผ่านเหงื่อได้ถึง 1 – 2 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 10 – 15% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวันเลยทีเดียว
ความอยากอาหารและน้ำที่ลดลงในหน้าร้อน
อากาศร้อนจัดมักส่งผลให้ความอยากอาหารของวัยทองนั้นลดลง ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกายเพื่อลดความร้อนที่เกิดจากกระบวนการย่อยอาหาร อย่างไรก็ตาม…ผลลัพธ์ คือ การได้รับสารอาหารน้อยลง รวมถึงสังกะสีด้วยนั้นเอง
ทำให้วัยทองจึงมีผลกระทบเรื่องของการขาดสังกะสีมากกว่าวัยหนุ่มสาวนั่นเอง
- วัยทองมีความอยากอาหารน้อยกว่าคนวัยหนุ่มสาวอยู่แล้ว
- อาจมีความยากลำบากในการเตรียมอาหาร เนื่องจากอยู่ในสภาพอากาศร้อน
- วัยทองมักเลือกรับประทานอาหารเบาๆ เช่น ผลไม้ หรืออาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งมักมีปริมาณสังกะสีต่ำกว่าอาหารประเภทเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ
ซึ่งนอกจากความอยากอาหารที่ลดลงแล้ว การดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อร่างกายของวัยทองก็ส่งผลกระทบต่อการดูดซึมสังกะสีเช่นเดียวกัน 05:03/68 เพราะในหน้าร้อน หลายคนมีแนวโน้มที่จะดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในวัยทองที่มักมีความรู้สึกกระหายน้ำลดลงตามธรรมชาติ การขาดน้ำแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลต่อระบบย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร รวมถึงสังกะสี
ภาวะขาดน้ำทำให้เกิดผลกระทบต่อการดูดซึมสังกะสีในหลายแง่มุม
- ความเข้มข้นของกรดในกระเพาะอาหารเปลี่ยนแปลง ซึ่งจำเป็นต่อการดูดซึมสังกะสีอย่างมีประสิทธิภาพ
- เกิดภาวะท้องผูก 06:03/67 ซึ่งทำให้อาหารอยู่ในลำไส้นานขึ้น และอาจทำให้มีการดูดซึมสังกะสีลดลง
- การทำงานของเอนไซม์ต่างๆ ในระบบย่อยอาหารลดลง ส่งผลให้การย่อยและการดูดซึมแร่ธาตุลดประสิทธิภาพลง
ความเครียดออกซิเดชันที่เพิ่มขึ้นในสภาพอากาศร้อน
ไม่เพียงแค่ปัจจัยจากเรื่องการรับประทานอาหารหรือน้ำเท่านั้น แต่อากาศร้อนจัดทำให้เกิดความเครียดออกซิเดชันในร่างกายเพิ่มขึ้น หรือมีการผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น ซึ่งสามารถทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย และแน่นอนว่าสังกะสีเป็นส่วนประกอบสำคัญของเอนไซม์ superoxide dismutase ซึ่งเป็นเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญของร่างกาย
ซึ่งเมื่อมีความเครียดออกซิเดชันเพิ่มขึ้น…ร่างกายจะใช้สังกะสีมากขึ้นเพื่อสร้างเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ ในวัยทองและผู้สูงวัยที่มีระบบต้านอนุมูลอิสระที่อ่อนแอลงตามธรรมชาติและมักมีระดับสังกะสีที่ต่ำกว่าอยู่แล้ว การเพิ่มขึ้นของความต้องการนี้อาจทำให้เกิดภาวะขาดสังกะสีได้ง่าย
10 สัญญาณเตือนขาดสังกะสีที่พบบ่อยในวัยทอง
จากการศึกษาทางระบาดวิทยาในประเทศไทย พบว่าประมาณ 30 – 40% ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี มีระดับสังกะสีต่ำกว่าเกณฑ์ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคตับ
การขาดสังกะสีไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ค่อยๆ แสดงอาการผ่านสัญญาณเตือนต่างๆ ที่บางครั้งอาจถูกมองข้ามหรือเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงอาการปกติของวัยทอง และนี่ คือ 10 สัญญาณเตือนสำคัญที่บ่งชี้ว่าคุณผู้อ่านอาจกำลังขาดสังกะสีก็เป็นได้
1. ผมร่วง หรือผมบางผิดปกติ
สังกะสี มีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตและการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ รวมถึงเส้นผม โดยในวัยทองที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอยู่แล้ว การขาดสังกะสีจะยิ่งทำให้ปัญหาผมร่วงรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
อาการที่พบ
- วัยทองมีอาการผมร่วงมากกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อสระผมหรือหวีผม
- ผมบางลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะบริเวณด้านหน้าและด้านบนของศีรษะ
- ผมเปราะและแตกปลายง่าย
- การเจริญของเส้นผมใหม่ช้าลง
- ผมขาดความเงางามและดูไม่มีชีวิตชีวา
2. ผิวแห้ง เกิดผื่น หรือมีปัญหาผิวหนังบ่อย
สังกะสี เป็นแร่ธาตุสำคัญในการรักษาสุขภาพผิวและการซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังที่เสียหาย การขาดสังกะสีในวัยทองมักแสดงออกผ่านปัญหาผิวหนังต่างๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยและรักษายากกว่าปกติ
อาการที่พบ
- ผิวแห้ง ลอกเป็นขุย โดยเฉพาะในบริเวณที่มักเสียดสี เช่น ข้อศอก หัวเข่า
- เกิดรอยแดง หรือผื่นคันโดยไม่ทราบสาเหตุ
- แผลหายช้ากว่าปกติ
- ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือมีอาการกำเริบบ่อย
- สิวเกิดขึ้นแม้ในวัยทอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ
3. ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย
ระบบภูมิคุ้มกัน เป็นหนึ่งในระบบที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการขาดสังกะสีในวัยทอง เนื่องจากสังกะสีมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันหลายชนิด
อาการที่พบ
- วัยทองมีอาการเป็นหวัด หรือติดเชื้อบ่อยกว่าปกติ
- อาการป่วยมีระยะเวลานานกว่าที่ควรจะเป็น
- แผลติดเชื้อง่ายและหายช้า
- มีความอ่อนไหวต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจมากขึ้น
- มีประวัติการติดเชื้อซ้ำซาก เช่น เริม เชื้อรา หรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
ในวัยทองระบบภูมิคุ้มกันมีแนวโน้มที่จะเสื่อมถอยลงตามธรรมชาติอยู่แล้ว การขาดสังกะสีจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่มีแบคทีเรียและเชื้อโรคแพร่กระจายมากขึ้น
4. การรับรสและกลิ่นลดลง
การเปลี่ยนแปลงในการรับรสและกลิ่นเป็นสัญญาณที่มักถูกมองข้าม แต่เป็นหนึ่งในอาการเริ่มต้นของการขาดสังกะสีที่พบได้บ่อยในวัยทอง
อาการที่พบ
- วัยทองจะมีความรู้สึกว่าอาหารมีรสชาติจืด หรือไม่มีรสชาติเหมือนเดิม
- วัยทองมีความต้องการเพิ่มเครื่องปรุงมากขึ้นเพื่อให้รับรสได้
- ความสามารถในการแยกแยะกลิ่นของวัยทองนั้นลดลง
- วัยทองมีความอยากอาหารลดลง เนื่องจากอาหารไม่อร่อยเหมือนเดิม
- การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนบางครั้งไม่สังเกตเห็นจนกว่าจะมีคนอื่นทักหรือเมื่ออาการรุนแรงมากขึ้น
จากการศึกษาพบว่าสังกะสีเป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการรับรสและกลิ่น การขาดสังกะสีจึงส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการรับรสและกลิ่น
5. ท้องเสียหรือท้องผูกเรื้อรัง
สังกะสี มีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบทางเดินอาหาร การขาดสังกะสีจึงอาจส่งผลให้วัยทองเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้
อาการที่พบ
- มีอาการท้องเสียหรือท้องผูกเป็นประจำโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีอาการปวดท้องหรือไม่สบายท้องบ่อยครั้ง
- รู้สึกอืดแน่นท้องหลังรับประทานอาหาร
- มีการเปลี่ยนแปลงของลักษณะอุจจาระบ่อยครั้ง
- อาการทางระบบทางเดินอาหารเหล่านี้มักแย่ลงในช่วงที่ร่างกายเครียดหรือในช่วงหน้าร้อน
สังกะสีช่วยในการสร้างเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหาร นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการรักษาความแข็งแรงของเยื่อบุทางเดินอาหาร การขาดสังกะสีจึงอาจนำไปสู่ปัญหาการย่อยอาหารและการดูดซึมที่ไม่ปกติในวัยทอง
6. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และขาดพลังงาน
ความเหนื่อยล้า เป็นอาการที่พบได้บ่อยในวัยทอง แต่หากคุณรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างไม่มีสาเหตุหรือมากเกินไป นี่อาจเป็นสัญญาณของการขาดสังกะสี
อาการที่พบ
- วัยทองมีความรู้สึกว่าตนเองรู้สึกเหนื่อยล้า แม้จะนอนหลับเพียงพอ
- ขาดพลังงานในการทำกิจกรรมประจำวัน
- ต้องใช้ความพยายามมากขึ้น ในการทำกิจกรรมที่เคยทำได้ง่าย
- วัยทองรู้สึกอ่อนเพลียโดยเฉพาะในช่วงบ่าย หรือเย็น
- มีความทนทานลดลงในการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง
สังกะสีมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเมแทบอลิซึมของพลังงาน เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์มากกว่า 300 ชนิดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงานในร่างกาย การขาดสังกะสีจึงส่งผลโดยตรงต่อระดับพลังงานและความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
7. ปัญหาด้านสมาธิและความจำ
การเปลี่ยนแปลงทางสมองและระบบประสาทเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในวัยทอง แต่การขาดสังกะสีอาจทำให้ปัญหาเหล่านี้เกิดเร็วขึ้นหรือรุนแรงขึ้น
อาการที่พบ
- มีปัญหาในการจดจำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
- ความสามารถในการมีสมาธิจดจ่อกับงานลดลง
- รู้สึกสับสนหรือมึนงงบ่อยครั้ง
- การประมวลผลข้อมูลหรือการคิดช้าลง
- มีอารมณ์แปรปรวนหรือหงุดหงิดง่ายโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
8. ความผิดปกติของเล็บ
เล็บ เป็นอีกหนึ่งส่วนของร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากการขาดสังกะสีอย่างชัดเจน และมักเป็นสัญญาณเตือนที่สังเกตเห็นได้ง่ายจากวัยทอง
อาการที่พบ
- เล็บเปราะ แตกง่าย หรือหลุดลอกเป็นชั้น
- มีรอยสีขาว (Leukonychia) บนเล็บ
- เล็บมีลักษณะบางผิดปกติ
- การเจริญของเล็บช้าลง
- มีการติดเชื้อที่ขอบเล็บบ่อยครั้ง
สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการสร้างโปรตีนเคราติน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเล็บ การขาดสังกะสีจึงส่งผลโดยตรงต่อโครงสร้างและความแข็งแรงของเล็บ เล็บที่ผิดปกติอาจเป็นสัญญาณเตือนที่มองเห็นได้ชัดเจนของการขาดสังกะสี
9. ปัญหาทางเพศและฮอร์โมน
สังกะสี มีบทบาทสำคัญในการผลิตและการทำงานของฮอร์โมนเพศทั้งในผู้ชายและผู้หญิง การขาดสังกะสีในวัยทองจึงอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางเพศได้
อาการที่พบในผู้ชาย
- มีระดับเทสโทสเตอโรนต่ำกว่าปกติ
- ความต้องการทางเพศลดลงอย่างชัดเจน
- มีปัญหาเรื่องการแข็งตัวของอวัยวะเพศ
- จำนวนอสุจิลดลง (หากตรวจวัด)
อาการที่พบในผู้หญิง
- อาการวัยหมดประจำเดือนรุนแรงกว่าปกติ
- มีความแปรปรวนของรอบเดือนในช่วงก่อนหมดประจำเดือน
- ความต้องการทางเพศลดลงอย่างผิดปกติ
- ช่องคลอดแห้งมากกว่าที่ควรจะเป็นในวัยทอง
การศึกษาพบว่าสังกะสีมีความสำคัญต่อการผลิตฮอร์โมนเพศและการทำงานของต่อมเพศ โดยเฉพาะในผู้ชาย สังกะสีมีบทบาทสำคัญในการสร้างเทสโทสเตอโรนและการผลิตอสุจิ ส่วนในผู้หญิง สังกะสีมีส่วนช่วยในการรักษาสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน
10. ความดันโลหิตไม่คงที่และปัญหาหัวใจ
ความดันโลหิตที่ไม่คงที่หรือผิดปกติในวัยทองอาจเป็นสัญญาณของการขาดสังกะสี ซึ่งเป็นอาการที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดในวัยทอง
อาการที่พบ
- ความดันโลหิตไม่คงที่ มีการขึ้นลงผิดปกติ
- มีอาการใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะบ่อยๆ
- เวียนศีรษะ หรือหน้ามืดเมื่อลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
- หายใจไม่อิ่ม หรือเหนื่อยง่ายแม้ทำกิจกรรมเบาๆ
- บวมตามแขนขาโดยไม่ทราบสาเหตุ
การสังเกตสัญญาณเตือนเหล่านี้ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการหลายอย่างร่วมกัน อาจช่วยให้คุณผู้อ่านสามารถตระหนักถึงความเสี่ยงของการขาดสังกะสีได้ตั้งแต่เนิ่นๆ การปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจระดับสังกะสีในร่างกาย และการปรับเปลี่ยนอาหารหรือพิจารณาการเสริมสังกะสีอย่างเหมาะสม จะช่วยป้องกันไม่ให้อาการเหล่านี้รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่ร่างกายของวัยทองมีการสูญเสียแร่ธาตุมากกว่าปกตินั้นเอง
รู้จักและเข้าใจสัญญาณต่อของการสังกะสีที่มาให้เห็นต่อร่างกายของวัยทองแล้ว เรามาดูผลกระทบของการขาดสังกะสีในวัยทองกันต่อเลย…
ผลกระทบของการขาดสังกะสีต่อระบบภูมิคุ้มกันในวัยทอง
คุณผู้อ่านทราบดีว่าเมื่อก้าวเข้าสู่ “วัยทอง” หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของร่างกายคือการเสื่อมถอยตามธรรมชาติของระบบภูมิคุ้มกัน แต่หากมีภาวะขาดสังกะสีร่วมด้วย ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันจะยิ่งทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น ลองมาทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างสังกะสีกับระบบภูมิคุ้มกันในช่วงวัยทองกัน
1. ความอ่อนแอต่อการติดเชื้อทั่วไป
ในวัยทองที่มีภาวะขาดสังกะสี ความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคทั่วไปจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้
- ติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อยขึ้น เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ และปอดบวม
- ระยะเวลาในการป่วยยาวนานกว่าปกติ บางครั้งอาจใช้เวลาหายเป็นสัปดาห์แทนที่จะเป็นวัน
- มีความรุนแรงของอาการมากกว่าคนทั่วไปในวัยเดียวกัน
- ต้องใช้ยาปฏิชีวนะบ่อยขึ้นและนานขึ้น
จากการศึกษาในผู้สูงอายุและวัยทองพบว่า กลุ่มที่มีระดับสังกะสีต่ำมีอัตราการติดเชื้อทางเดินหายใจสูงกว่ากลุ่มที่มีระดับสังกะสีปกติถึง 3 เท่า โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุผ่านเหงื่อมากขึ้น
2. การฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยล่าช้า
วัยทองและผู้สูงอายุที่ขาดสังกะสี จะใช้เวลาในการฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยหรือการผ่าตัดนานกว่าปกติ โดยพบว่าผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่ได้รับการเสริมสังกะสีมีอัตราการติดเชื้อแผลผ่าตัดน้อยกว่าและแผลหายเร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการเสริมสังกะสี
- กระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อเกิดขึ้นช้า เพราะสังกะสีมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจนและโปรตีนอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- การสร้างเซลล์ใหม่เกิดขึ้นในอัตราที่ช้าลง
- ประสิทธิภาพของกระบวนการกำจัดเซลล์ที่เสียหายลดลง
3. ความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อฉวยโอกาสเพิ่มขึ้น
เมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากการขาดสังกะสีในวัยทอง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส ซึ่งปกติจะไม่ก่อโรคในคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติ เนื่องจากสังกะสีมีคุณสมบัติต้านเชื้อราโดยตรง การขาดสังกะสีจึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อราอย่างมีนัยสำคัญ เช่น
- การติดเชื้อราในช่องปาก (Oral Thrush)
- เชื้อรางูสวัด (Herpes Zoster) ที่มักกำเริบในผู้สูงอายุและวัยทองที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- การติดเชื้อราที่ผิวหนังและเล็บ
- การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะซ้ำซาก
4. การตอบสนองต่อวัคซีนลดลง
วัคซีนเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรคในวัยทอง แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนขึ้นอยู่กับความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันในการตอบสนอง การขาดสังกะสีส่งผลให้…
- การสร้างแอนติบอดีหลังได้รับวัคซีนน้อยกว่าที่ควร
- ระยะเวลาการป้องกันโรคหลังรับวัคซีนสั้นกว่าปกติ
- ต้องการการกระตุ้นวัคซีนบ่อยกว่าปกติ
5. กระบวนการอักเสบที่ผิดปกติ
สังกะสี มีบทบาทในการควบคุมกระบวนการอักเสบให้เหมาะสม การขาดสังกะสีในวัยทองทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่ไม่จำเป็น ซึ่งส่งผลให้
- มีการหลั่งสารก่อการอักเสบ เช่น IL-6 และ TNF-alpha มากเกินความจำเป็น
- ระบบภูมิคุ้มกันอาจโจมตีเนื้อเยื่อของร่างกายเอง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ตัวเองในวัยทอง
- เกิดภาวะภูมิแพ้ที่รุนแรงขึ้นในผู้ที่มีประวัติโรคภูมิแพ้
6. ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเพิ่มขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกัน มีบทบาทสำคัญในการตรวจจับและทำลายเซลล์มะเร็งในระยะเริ่มต้น การขาดสังกะสีในวัยทองส่งผลต่อกลไกนี้ ทำให้…
- ประสิทธิภาพของเซลล์ NK (Natural Killer) ในการทำลายเซลล์มะเร็งลดลง
- กระบวนการซ่อมแซม DNA ที่เสียหายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสการกลายพันธุ์
- กลไกการตายของเซลล์ตามโปรแกรม (Apoptosis) ซึ่งช่วยกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติทำงานบกพร่อง
มีการศึกษาทางระบาดวิทยาที่พบว่า…ความสัมพันธ์ระหว่างระดับสังกะสีต่ำกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม
รู้แบบนี้แล้ว? คุณผู้อ่านที่เป็นวัยทองเริ่มอยากที่จะดูแลตนเองมากขึ้นแล้วใช่ไหม? เพราะฉะนั้น! เรามาตามหาอายุที่อุดมไปด้วยสังกะสี (Zinc) สำหรับวัยทองกัน…
20 อาหารที่อุดมด้วยสังกะสีสำหรับวัยทอง
1. หอยนางรม
หอยนางรม เป็นแหล่งสังกะสีที่ดีที่สุดในบรรดาอาหารทั้งหมด โดยหอยนางรม 6 ตัวขนาดกลางสามารถให้ปริมาณสังกะสีได้มากถึง 27 – 50 มิลลิกรัม ซึ่งเกินความต้องการรายวันหลายเท่า
นอกจากนี้ยังพบว่าหอยนางลมยังอุดมไปด้วยโปรตีนคุณภาพสูง วิตามินบี12 และแร่ธาตุอื่นๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพของวัยทองอีกด้วย
2. เนื้อวัวแดง
เนื้อวัว มีสังกะสีสูงและร่างกายวัยทองสามารถดูดซึมได้ง่าย เนื้อสันในวัว 100 กรัม มีสังกะสีประมาณ 4.8 – 7 มิลลิกรัมเลยทีเดียว ซึ่งตอบสนองต่อความต้องการประจำวันของร่างกายวัยทองได้เกือบครบถ้วน
ทางเลือกที่ดีสำหรับวัยทอง คือ เนื้อส่วนที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อสันใน
3. ตับไก่
ตับไก่ เป็นแหล่งสังกะสีที่ดีมากต่อวัยทอง เพราะหาทานง่ายและอร่อย โดย 100 กรัม มีสังกะสีประมาณ 4 – 6.5 มิลลิกรัม เกือบเทียบเท่ากับเนื้อวัวแดงเลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบีรวม และธาตุเหล็ก ซึ่งล้วนเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับวัยทอง
4. เมล็ดฟักทอง
เมล็ดฟักทองเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับวัยทองที่เป็นมังสวิรัติ หรือผู้ที่ต้องการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ เมล็ดฟักทอง 1/4 ถ้วย มีสังกะสีประมาณ 2.5 – 3 มิลลิกรัม และยังมีแมกนีเซียม โอเมก้า-3 และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย โปรตีนที่ดีจากธรรมชาติสำหรับวัยทอง 05:02/68
5. เม็ดมะม่วงหิมพานต์
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 1/4 ถ้วย ให้สังกะสีประมาณ 1.9 มิลลิกรัม เป็นอาหารว่างที่สะดวกและอุดมไปด้วยไขมันดีและโปรตีนคุณภาพสูง ช่วยให้วัยทองอิ่มนานและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับวัยทอง
6. ปูและกุ้ง
ปูและกุ้งเป็นอาหารทะเลที่มีสังกะสีสูง โดยปูขนขนาดกลาง 100 กรัม มีสังกะสีประมาณ 3.6 มิลลิกรัม ส่วนกุ้ง 100 กรัมมีสังกะสีประมาณ 1.5 – 2 มิลลิกรัม ทั้งสองยังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีและมีไขมันต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักในวัยทอง 11:12/67
7. เมล็ดเจีย
เมล็ดเจีย 2 ช้อนโต๊ะ มีสังกะสีประมาณ 1 – 1.3 มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยโอเมก้า-3 ซึ่งช่วยบำรุงสมอง ลดการอักเสบ และป้องกันโรคหัวใจ สามารถโรยลงบนโยเกิร์ต สลัด หรือผสมในสมูทตี้ได้ง่าย
8. งาดำ
งาดำ เป็นอาหารไทยโบราณที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดย 2 ช้อนโต๊ะมีสังกะสีประมาณ 1.6 มิลลิกรัม รวมทั้งมีแคลเซียม วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ เหมาะสำหรับโรยบนอาหาร หรือบดผสมกับน้ำผึ้งทานเป็นยาบำรุง
9. ถั่วเลนทิล
ถั่วเลนทิล เป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่ดี 1 ถ้วยของถั่วเลนทิลสุก มีสังกะสีประมาณ 2.5 มิลลิกรัม นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่ายและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยทอง
10. ถั่วดำ
ถั่วดำ เป็นอาหารที่มีสังกะสีสูงและเหมาะกับอาหารไทย 1 ถ้วยของถั่วดำต้มสุก มีสังกะสี 1.9 มิลลิกรัม อีกทั้งยังอุดมไปด้วยใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ และโปรตีน เหมาะสำหรับทำขนมหวานหรือเมนูคาวได้หลากหลาย
11. ชีส โดยเฉพาะชีสเชดด้าร์
ชีสเชดด้าร์ 30 กรัม มีสังกะสีประมาณ 0.9 – 1.1 มิลลิกรัม และยังเป็นแหล่งแคลเซียมและวิตามินดีที่ดี ซึ่งช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนที่พบบ่อยในวัยทอง 07:12/67 แต่ควรเลือกรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเนื่องจากมีไขมันและโซเดียมสูง
12. ไข่
ไข่ 2 ฟอง มีสังกะสีประมาณ 1.3 มิลลิกรัม และเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่ราคาไม่แพง นอกจากนี้ยังมีโคลีน ซึ่งช่วยบำรุงสมองและความจำ รวมทั้งลูทีนและซีแซนทีนที่ช่วยป้องกันโรคตาที่มักพบในวัยทอง
13. โยเกิร์ตกรีก
โยเกิร์ตกรีก 1 ถ้วย มีสังกะสีประมาณ 1.5 – 2 มิลลิกรัม และมีโปรตีนสูง โพรไบโอติกในโยเกิร์ตยังช่วยปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันและการดูดซึมสารอาหาร โดยเฉพาะในวัยทองที่ระบบย่อยอาหารเริ่มเสื่อมถอย
14. ขิง
ขิง นอกจากจะมีสังกะสีในปริมาณปานกลาง (0.2 – 0.6 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) แล้ว ยังมีสารต้านการอักเสบที่ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อและกล้ามเนื้อที่พบบ่อยในวัยทอง ใช้เป็นเครื่องเทศในอาหารหรือชงเป็นชาได้
15. ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้าและผักโขม
ผักใบเขียวเข้ม มีสังกะสีในปริมาณที่ดี โดยผักโขมสุก 1 ถ้วย มีสังกะสีประมาณ 1.4 มิลลิกรัม และคะน้าสุก 1 ถ้วย มีสังกะสีประมาณ 0.5 – 0.8 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินเค แคลเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็ง
16. ข้าวกล้อง
ข้าวกล้อง 1 ถ้วย มีสังกะสีประมาณ 1.2 มิลลิกรัม และยังมีวิตามินบี ใยอาหาร และแร่ธาตุอื่นๆ ที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและรักษาสุขภาพหัวใจ เป็นทางเลือกที่ดีกว่าข้าวขาวสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทอง
17. กระเทียม
กระเทียม มีสังกะสีในปริมาณปานกลาง (1.1 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) แต่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกันที่สำคัญ สารประกอบกำมะถันในกระเทียมยังช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยในวัยทอง
18. เนื้อปลา โดยเฉพาะปลาแซลมอน
ปลาแซลมอน 100 กรัม มีสังกะสีประมาณ 0.6 – 0.8 มิลลิกรัม และอุดมไปด้วยโอเมก้า-3 ที่ช่วยบำรุงสมอง ลดการอักเสบ และป้องกันโรคหัวใจ วิตามินดีในปลาแซลมอนยังช่วยการดูดซึมแคลเซียมเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน
19. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ และราสเบอร์รี่ มีสังกะสีในปริมาณปานกลาง (0.1 – 0.3 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ช่วยลดการอักเสบและป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ รวมถึงโรคหัวใจ มะเร็ง และโรคสมองเสื่อมที่พบบ่อยในวัยทอง
20. งาขี้ม้อน (Perilla seeds)
งาขี้ม้อน เป็นพืชพื้นบ้านของไทยที่มีสังกะสีสูง (2.3 – 2.8 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) และอุดมไปด้วยโอเมก้า-3 สูงกว่าเมล็ดเจียถึง 1.8 เท่า ช่วยบำรุงสมอง ต้านการอักเสบ และบำรุงผิวพรรณ เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทองที่ต้องการอาหารบำรุงทั้งภายในและภายนอก
นำมาฝากคุณผู้อ่านมากถึง 20 เมนูวัตถุดิบนอกจากจะดีต่อร่างกายวัยทองแล้ว ยังช่วยเติมเต็มแร่ธาตุสังกะสีไม่ให้ขาดอีกด้วย แต่ดูแล้ว…ก็เยอะเนอะ เชื่อว่าคุณผู้อ่านน่าจะมีคำถามต่อว่า? มีอะไรที่หาง่าย และได้ง่าย ไว แต่ยังดีต่อสุขภาพวัยทองไหม? อยากจะบอกว่ามีแน่นอนและนั่นคือ
ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) ผลิตภัณฑ์เสริมที่ตอบโจทย์วัยทองโดยเฉพาะในหน้าร้อนสำหรับคุณผู้ชาย อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทองที่ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกายในช่วงวัยเปลี่ยนผ่านสำคัญนี้ ประกอบด้วยสารสกัดคุณภาพสูง 7 ชนิด ที่แต่ละชนิดมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพวัยทอง สามารถบรรเทาและป้องกัน…
- ป้องกันภาวะขาดสังกะสีและผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน
ตามที่เราได้อธิบายในบทความเรื่องสัญญาณเตือนขาดสังกะสีในวัยทอง ภาวะขาดสังกะสีมักแย่ลงในหน้าร้อนเนื่องจากการสูญเสียเหงื่อมากขึ้น ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) มีซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลท ในปริมาณสูง ช่วยเติมเต็มสังกะสีที่สูญเสียไป และป้องกันปัญหาระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอที่เป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนสำคัญของการขาดสังกะสี
นอกจากนี้ ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น โสมเกาหลีและกระชายดำยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันเพิ่มเติม ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการเจ็บป่วยบ่อยในช่วงหน้าร้อน
- ลดผลกระทบจากความร้อนต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
ในช่วงหน้าร้อน หัวใจของวัยทองต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกาย ทำให้ผู้ที่อยู่ในวัยทองมีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาหัวใจและหลอดเลือด ส่วนประกอบหลายชนิดในดีเน่ แอนโดรพลัส ได้ช่วยสนับสนุน
- แอล อาร์จีนีน ช่วยขยายหลอดเลือด
- แปะก๊วย เพิ่มการไหลเวียนของเลือด
- งาดำ ให้กรดไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อหัวใจ
- ซิงค์ ช่วยควบคุมการอักเสบและความดันโลหิต
- ฟื้นฟูพลังงานที่มักลดลงในช่วงอากาศร้อน
อากาศร้อนมักทำให้ร่างกายของวัยทองรู้สึกเหนื่อยล้าและไร้พลัง โดยเฉพาะในวัยทองที่ร่างกายมีความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิลดลง ส่วนประกอบ เช่น โสมเกาหลีและกระชายดำใน ดีเน่ แอนโดรพลัส มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูพลังงานและเพิ่มความทนทาน ช่วยให้ร่างกายรับมือกับความเครียดจากความร้อนได้ดีขึ้น
- สนับสนุนสมดุลฮอร์โมนในช่วงวัยเปลี่ยนผ่าน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในวัยทอ งมักส่งผลต่อการรับมือกับความร้อนของร่างกาย ส่วนประกอบเช่น โสมเกาหลี ฟีนูกรีก และสังกะสี ช่วยสนับสนุนการผลิตและสมดุลของฮอร์โมนตามธรรมชาติ ช่วยบรรเทาอาการของวัยทองที่อาจทวีความรุนแรงในหน้าร้อน เช่น อาการร้อนวูบวาบ หรือเหงื่อออกตอนกลางคืนได้ดี
และสำหรับคุณผู้หญิงก็ไม่พลาดกับผลิตภัณฑ์ดีๆ เช่นกันด้วย ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพวัยทอง ช่วยเสริมสร้างความสมดุลให้กับร่างกายและบรรเทาอาการไม่พึงประสงค์ในช่วงวัยนี้ จากการรวบรวมสารสกัดธรรมชาติ 6 ชนิด อย่างพิถีพิถัน
- สารสกัดจากถั่วเหลือง
สารสกัดคุณภาพสูงนำเข้าจากประเทศสเปน อุดมด้วยไอโซฟลาโวน ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยบรรเทาอาการวัยทอง เช่น อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกตอนกลางคืน และความแปรปรวนของอารมณ์
นอกจากนี้ ถั่วเหลืองยังมีส่วนช่วยในการดูดซึมสังกะสีเมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่มีสังกะสีสูง ซึ่งตอบโจทย์ผู้ที่มีความเสี่ยงในการขาดสังกะสีในวัยทอง
- สารสกัดจากตังกุย
สมุนไพรที่ใช้ในการแพทย์แผนจีนมาอย่างยาวนาน มีฤทธิ์ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพศหญิง บรรเทาอาการปวดประจำเดือน และช่วยลดความไม่สบายในช่วงวัยหมดประจำเดือน สารสกัดจากตังกุยยังมีคุณสมบัติในการช่วยเสริมการไหลเวียนของเลือด ซึ่งสนับสนุนการนำสังกะสีและแร่ธาตุอื่นๆ ไปยังเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการที่อาจเกิดจากการขาดสังกะสี เช่น ผิวแห้ง ผมร่วง และระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- สารสกัดจากแปะก๊วย
ช่วยปรับปรุงความจำและความสามารถในการรับรู้ ต้านอนุมูลอิสระ และลดความเครียดออกซิเดชัน ในช่วงวัยทองที่มีความเสี่ยงต่อการขาดสังกะสี การเพิ่มการไหลเวียนเลือดจากแปะก๊วยช่วยให้การลำเลียงสังกะสีไปยังอวัยวะต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น บรรเทาอาการหลงลืม สมาธิสั้น และอาการทางระบบประสาทอื่นๆ ที่อาจเกิดจากการขาดสังกะสี
- สารสกัดจากงาดำ
งาดำเป็นแหล่งธรรมชาติของสังกะสี แคลเซียม และเหล็ก รวมถึงวิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ในวัยทองที่ร่างกายมีการดูดซึมแร่ธาตุลดลง การเสริมด้วยสารสกัดจากงาดำช่วยเพิ่มแร่ธาตุสำคัญรวมถึงสังกะสีที่จำเป็นต่อการทำงานของเอนไซม์มากกว่า 300 ชนิดในร่างกาย ช่วยลดปัญหาผมร่วงและผิวแห้งที่เป็นสัญญาณเตือนของการขาดสังกะสีในวัยทอง
- ออร์แกนิค แครนเบอร์รี่
แครนเบอร์รี่ออร์แกนิค อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี และสารประกอบโพลีฟีนอล ช่วยสนับสนุนสุขภาพระบบทางเดินปัสสาวะ ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซึ่งพบบ่อยในช่วงวัยทอง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน
นอกจากนี้วิตามินซีในแครนเบอร์รี่ยังช่วยเพิ่มการดูดซึมสังกะสี ตอบโจทย์ปัญหาการดูดซึมแร่ธาตุที่ลดลงในวัยทอง โดยเฉพาะในหน้าร้อนที่ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุมากขึ้นผ่านเหงื่อ
6. อินูลิน พรีไบโอติก
อินูลิน เป็นใยอาหารพรีไบโอติกที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ ปรับปรุงสุขภาพระบบทางเดินอาหาร และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารรวมถึงแร่ธาตุสังกะสี
ในวัยทองที่มักพบปัญหาระบบย่อยอาหารและการดูดซึมแร่ธาตุที่ลดลง การเสริมอินูลินช่วยบรรเทาอาการท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรังซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนของการขาดสังกะสี และยังช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสังกะสีจากอาหารได้ดียิ่งขึ้น
เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากผลิตภัณฑ์ดีเน่ แอนโดรพลัส (DNAe Androplus) ผลิตภัณฑ์เสริมที่ตอบโจทย์วัยทองโดยเฉพาะในหน้าร้อนสำหรับคุณผู้ชาย และ ดีเน่ ฟลาโวพลัส (DNAe Flavoplus) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพวัยทองสำหรับคุณผู้หญิง แนะนำว่าควรรับประทานวันละ 1 แคปซูล หลังอาหารเช้าพร้อมน้ำสะอาด 1 แก้ว เพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมสารอาหารอย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งวัน
อาหารเสริมจาก ดีเน่ (DNAe) เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทองที่ต้องการเสริมสร้างความสมดุลให้กับร่างกาย และป้องกันปัญหาจากการขาดสังกะสีโดยเฉพาะในหน้าร้อน ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ผลิตภัณฑ์นี้ช่วยตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของวัยทอง เพื่อให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกฤดูกาล
สรุป
ความเชื่อมโยงระหว่างสังกะสีและระบบฮอร์โมนในวัยทอง เป็นประเด็นสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในประเทศที่มีอากาศร้อนอย่างประเทศไทย การเข้าใจถึงบทบาทของสังกะสีต่อการทำงานของฮอร์โมนต่างๆ และผลกระทบของการขาดสังกะสีต่อระบบฮอร์โมน จะช่วยให้สามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงในวัยทองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การรักษาสมดุลของสังกะสีไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาอาการที่เกิดจากการขาดสังกะสีโดยตรงเท่านั้น แต่ยังช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบฮอร์โมนในวัยทอง ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมและคุณภาพชีวิต ทำให้สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างราบรื่นและมีสุขภาพที่แข็งแรงสมวัย
หากนึกถึงอาหารที่มี Zinc หรือสังกะสีไม่ออก เลือก “ดีเน่ DNAe” ให้ดูแลสุขภาพ ทานวันละเม็ดเสริมภูมิคุ้มกันเพื่อวัยทองที่สุขภาพดี